รื่นร่มรมเยศ : คาถาพาหุงบทที่ 2 : โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

คาถาพาหุงบทที่ 2 ความว่า

มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธ์ยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

อาฬวกยักษ์ ผู้กระด้างปราศจากความอดทน ดุร้าย สู้รบกับพระพุทธเจ้าอย่างทรหดยิ่งกว่ามาร ตลอดราตรี พระจอมมุนีทรงเอาชนะได้ด้วยขันติวิธีที่ทรงฝึกมาดีแล้ว ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้นขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน

บทที่แล้วพระพุทธองค์ทรงสู้รบกับมาร มาคราวนี้ทรงสู้รบกับยักษ์ มาร อาจหมายถึงมารจริงๆ คือ เทพเกเรที่ชอบมารังแกคน หรืออาจหมายถึงกิเลสก็ได้ฉันใด ในที่นี้ก็อาจหมายถึงยักษ์เขี้ยวโง้ง หรือเป็นภาษาสัญลักษณ์ หมายถึงคนดุร้ายเผ่าหนึ่งในสมัยพุทธกาลก็ย่อมได้

Advertisement

ไม่เพียงแต่ ยักษ์ และมาร นาค ที่ปรากฏในคัมภีร์ศาสนา ก็อาจเป็นภาษาสัญลักษณ์เช่นกัน นาคปลอมมาบวช ตำราว่าเป็นพญานาคที่มีฤทธิ์ จำแลงกายเป็นคนได้ ตราบใดที่ยังมีสติอยู่ก็จะเป็นมนุษย์ แต่ถ้าเผลอสติ หรือหลับเมื่อใด ร่างนาค หรืองูใหญ่ก็จะปรากฏทันที

พระหนุ่มนาคจำแลง นอนหลับใหลในเวลากลางวันในห้อง ร่างกลายเป็นงูใหญ่ขดอยู่เต็มห้อง พระรูปหนึ่งเปิดประตูเข้าไปเห็นเข้าร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ พระนาคจำแลงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงแปลงร่างเป็นพระหนุ่มตามเดิม เรื่องรู้ถึงพระพุทธองค์ เธอเปิดเผยความจริงว่า เธอเป็นนาค (งูใหญ่) ปลอมมาบวชเพราะความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

พระพุทธองค์ตรัสว่าเพศบรรพชิตไม่เหมาะสำหรับสัตว์เดรัจฉานจึงให้เธอลาสิกขา กลับไปสู่นาคพิภพตามเดิม ตรงนี้ตำราในเมืองไทยแต่งต่อว่า นาคกราบทูลขอว่า ไหนๆ ก็ไม่มีโอกาสบวชอยู่พระศาสนาต่อไปแล้ว ขอฝากชื่อไว้ด้วย ต่อไปภายหน้า ใครจะบวชก็ขอให้เรียกคนนั้นว่า “นาค” เถิด ว่าอย่างนั้น แต่ตำราเดิมไม่มีพูดไว้อย่างนี้

Advertisement

นาค ในที่นี้คงไม่ใช่งูใหญ่อะไรดอก คงหมายถึงมนุษย์ที่ยังด้อยพัฒนาเผ่าหนึ่ง พระพุทธองค์จึงไม่อนุญาตให้บวช ว่ากันอย่างนั้น

อาฬวกยักษ์นี้ก็คงทำนองเดียวกัน ลองอ่านประวัติความเป็นมาก่อนตั้งข้อสังเกตภายหลัง เรื่องมีดังนี้ครับ ในป่าลึกชายแดนเมืองอาฬวี มียักษ์อยู่จำนวนมาก วันหนึ่งเจ้าเมืองอาฬวีไปล่าสัตว์ พลัดหลงกับข้าราชบริพาร เข้าไปยังป่าลึก ถูกยักษ์จับได้ตั้งใจจะเอามาทำสเต๊กกินให้อร่อย เจ้าเมืองกลัวตายจึงหาทางเอาตัวรอด โดยกล่าวว่า ถ้าพวกยักษ์กินตนก็อิ่มเพียงมื้อเดียว ถ้าปล่อยตนไป ตนจะไปหาคนมาส่งให้กินทุกวัน ขอให้ปล่อยตนไปเถอะ

“จะเชื่อได้อย่างไรว่าจะไม่เบี้ยว” ยักษ์ถาม

“ไม่เบี้ยวแน่นอนท่าน เพราะข้ามิใช่นายกเมืองสารขัณฑ์ ที่รับปากใครไปเรื่อยกระทั่งกับพระกับเจ้า แล้วก็ลืม ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองอาฬวี ย่อมรักษาสัจจะยิ่งชีวิต” เจ้าเมืองพูดขึงขัง

โชคยังดีพวกยักษ์เชื่อ จึงปล่อยไป ท้าวเธอก็ส่งนักโทษประหารมาให้กินวันละคน จนกระทั่งนักโทษหมดคุก เมื่อหาใครไม่ได้ก็สั่งให้ดักจับเอาใครก็ได้ที่เดินอยู่คนเดียว มีคดีคนหายอย่างลึกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จน จส.100 ของยักษ์ประกาศหาไม่หยุด สร้างความหวาดวิตกแก่ประชาชนทั้งเมือง

พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ต่อชาวเมืองอาฬวี พระองค์จึงเสด็จไปหาอาฬวกยักษ์ หัวหน้าพวกยักษ์ในป่าอาฬวี บังเอิญอาฬวกยักษ์ไม่อยู่ พระองค์จึงเสด็จเข้าประทับ ณ ที่นั่งประจำตำแหน่งของแก

อาฬวกยักษ์กลับมา พบพระพุทธองค์ประทับที่บัลลังก์ของตนก็โกรธเขี้ยวกระดิกทีเดียว ตวาดด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “สมณะโล้น มานั่งที่นั่งข้าทำไม ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”

พระพุทธองค์ทรงลุกขึ้นอย่างว่าง่าย

ยักษ์แก่ได้ใจ จึงออกคำสั่งอีกว่า “นั่งลง” พระองค์ก็นั่งลง

“ลุกขึ้น” สั่งอีก พระองค์ก็เสด็จลุกขึ้น

“นั่งลง” พระองค์นั่งลงตามคำสั่ง

ยักษ์เขี้ยวโง้งได้ใจ หัวร่อฮ่าๆ ที่เห็นพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของชาวโลกทำตามคำสั่งแกอย่างว่าง่าย

ถามว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงทำตามยักษ์อย่างว่าง่าย

ตอบว่า เป็นเทคนิควิธีสอนของพระพุทธองค์ พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่า ยักษ์แก่เป็นผู้ดุร้าย อารมณ์ร้อน ถ้าขัดใจแก แกก็จะโมโหจนลืมตัว ไม่มีช่องที่จะสอนอะไรได้ ถึงกล่าวสอนตอนนั้นแกก็คงรับไม่ได้ พระองค์จึงทรงเอาชนะความแข็งด้วยความอ่อน ดังคำพังเพยจีน (หรือเปล่าไม่รู้) “หยุ่นสยบแข็ง”

หรือดังกวี (เก่า) บทหนึ่งว่า

“ถึงคราวอ่อน อ่อนให้จริง ยิ่งเส้นไหม
เพื่อจะได้ เอาไว้โยง เสือโคร่งเฆี่ยน
ถึงคราวแข็ง ก็ให้แกร่ง ดังวิเชียร
เอาไว้เจียน ตัดกระจก เจียระไน”

ยักษ์ถึงแกจะป่าเถื่อน ใช่ว่าแกจะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้านั้น เป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นจำนวนมาก การที่แกสามารถสั่งให้คนยิ่งใหญ่ขนาดนั้นทำตามคำสั่งอย่างไม่ขัดขืน จึงทำให้แกภาคภูมิใจที่ปราบพระศาสดาในโลกได้ จิตใจจึงผ่อนคลายความดุร้ายลง สยบเยือกเย็นพอจะพูดกันด้วยเหตุผลรู้เรื่อง พระพุทธองค์จึงค่อยๆ สอนให้แกรู้ผิดชอบชั่วดี ยักษ์แกก็เข้าใจและรับได้อย่างเต็มใจ ในที่สุดก็รับเอาไตรสรณคมน์เป็นสรณะตลอดชีวิต

พูดมาถึงตรงนี้ก็อยากฝากไปถึง ส.ส.ร. หรือฝ่ายที่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญทั้งหลายด้วย นักการเมืองทั้งหลายก็ไม่ต่างกับ “อาฬวกยักษ์” ดอกครับ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ลิดรอนสิทธิและอำนาจนักการเมืองไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหลายครั้ง (“ยังกับเป็นนักโทษ” นักการเมืองอาวุโสท่านหนึ่งคำราม) ไม่ว่าจะเป็นการห้าม ส.ส. เป็นรัฐมนตรี หรือเรื่องคนแปดหมื่นคนไล่นักการเมืองได้ ล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกอาฬวกยักษ์ทั้งนั้น ใจจริงแล้ว เขาไม่อยากรับดอก (นอกเสียแต่บางพรรคหวังหาเสียงก็กัดฟันพูดว่า เรายินดีรับ) ถ้าอยากจะให้พวกเขายอมรับอย่างเต็มใจ ก็ควรใช้วิธีของพระพุทธเจ้าคือพูดดีๆ กับเขา อย่าได้พูดในทำนองดูถูกว่าปัญญาอ่อน ไดโนเสาร์พวกถ่วงความเจริญ ฯลฯ หรือชี้นำว่าต้องรับร่างรัฐธรรมนูญ ส.ส.ร. มีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ ร่างเสร็จแล้วก็หมดหน้าที่ เป็นเรื่องสภาเขาจะเอาหรือไม่เอา เมื่อสภาไม่เอา ก็ตกมาถึงประชาชนตัดสินอยู่มิใช่หรือ ทำไมจะต้องมาปลุกกระแสตอนนี้ แจกธงเขียวอะไรนั่นผมว่าเชยตายห่า และถ้าพวกยักษ์เขาแจกธงแดงบ้าง มิเป็นการประจันหน้ากันหรือครับ

พวกยักษ์นั้น ต้องพูดดีๆ กับเขา แบบพระพุทธเจ้าตรัสกับอาฬวกยักษ์ไม่ควรปลุกม็อบชนม็อบ เพราะถ้ายักษ์เขาโมโหแล้ว เขาปลุกม็อบได้มากกว่าอีก บอกเขาไปด้วยความอ่อนน้อมสิครับ ว่าขอให้ท่านพิจารณาเพื่อประโยชน์แก่บ้านเมือง ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ดีกว่าฉบับเก่าไหม ถ้าดีกว่าก็โปรดรับเถิด ข้อบกพร่องที่มีเอาไว้แก้ไขภายหลังได้ แค่นี้แหละ ทุกอย่างก็ราบรื่น

อาฬวกยักษ์ ในที่นี้น่าจะเป็นมนุษย์กินคนเผ่าหนึ่ง ที่มีอยู่มากในชมพูทวีปสมัยโน้น เมื่อมนุษย์กินคนถือศีล 5 สันติสุขมิได้เกิดแก่ชาวเมืองอาฬวีเท่านั้น หากรวมถึงเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกด้วย

เพราะฉะนั้น ชัยชนะของพระพุทธองค์ครั้งนี้จึงเป็นชัยชนะที่นำมาซึ่งสิริมงคลอย่างแท้จริง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image