ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
การปรับเปลี่ยนจาก “รัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร” ไปสู่ “รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง” เพราะการอยู่ร่วมโลกสัมพันธ์กับนาชาติไม่มีทางเลือกอื่น
แต่การปรับเปลี่ยนครั้งที่ผ่านการวางแผนอย่างแยบยล
ประเทศที่ความคิดของคนกลุ่มหนึ่งถูกหล่อหลอมให้เชื่อว่า “คนกลุ่มหนึ่งควรจะมีสิทธิในการกำหนดความเป็นไปของประเทศมากกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่ง” เป็นไปอย่างเข้มข้น และคนกลุ่มที่เชื่อเช่นนี้พลิกขึ้นมาเป็นผู้มีอำนาจจัดการประเทศอย่างยาวนาน
ความแยบคายอยู่ที่การปรับเปลี่ยนกลไกควบคุมอำนาจจาก “อาวุธ” และ “กองกำลัง” มาเป็น “กฎหมายที่ใช้กำหนดโครงสร้างอำนาจ” ที่เขียนขึ้นมาสนองตอบความเชื่อว่า “ประชาชนไม่ควรเท่าเทียมกัน” อย่างเข้มข้นนั้น
ความเคยชินจาก “อำนาจเด็ดขาด” ด้วย “กฎหมายที่เขียนเอง บังคับใช้เอง” และใช้กำลังเพื่อกดดันให้ทุกคนต้องปฏิบัติตาม หล่อหลอมให้คนกลุ่มหนึ่งแม้ยอมที่จะเข้าสู่อำนาจใหม่ด้วยการเลือกตั้ง แต่มีท่าทีชัดเจนที่ไม่สนใจเสียงเรียกร้องให้ร่วมกันสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในหนทางของการได้มาซึ่งรัฐบาลใหม่
เพื่อเป้าหมายที่วางไว้ คนกลุ่มนี้แสดงออกชัดเจนว่าไม่แคร์ทั้งสิ้นว่าวิธีการต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ วิญญูชนทั่วไปจะรู้สึกอย่างไร
สังคมที่ต้องเคลื่อนไปในสภาวะต้องยอมจำนนกับความไม่ชอบธรรม จนความผิดปกติทางจริยธรรมอย่างประหลาดล้ำดูจะค่อยกลายเป็น “ความรู้สึกว่าปกติ” หรือ “มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ” เกิดขึ้นในความคิดของคนทั่วไป
ระบบ “สำนึกแห่งคุณธรรม” ของสังคมที่ผิดเพี้ยนไปเพราะผู้คนถูกบังคับหรือชักจูงให้จำนนต่ออำนาจเช่นนี้ หากละเลยที่จะให้ครอบงำการอยู่ร่วมกันของผู้คนยาวนานออกไป
“วัฒนธรรมสังคม” จะหลุดจากกรอบแห่งจริยธรรม อันหมายถึงสอดคล้องกลมกลืนกับมนุษยธรรมไปไกลเรื่อยๆ
สังคมที่เห็น “ความวิปริตผิดเพี้ยน” เป็น “ความปกติ” จะเกิดขึ้น
ในยุคสมัยแห่งการใช้อำนาจเข้มข้น และการสานต่ออย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่เลือกวิธีการเช่นนี้
แม้การเลือกตั่งจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ดีกว่าการต่อสู้ในรูปแบบอื่นที่เสี่ยงต่อการเสียเลือดเสียเนื้อ แต่หากต้องการหลุดพ้นจากชะตากรรมของประเทศที่เคลื่อนไปอย่างไร้อนาคตที่เป็นธรรมเช่นนี้
ทุกคนทุกฝ่ายที่รัก หรือที่เชื่อว่าความเสมอภาคเท่าเทียมคือหลักการอยู่ร่วม ซึ่งจะต้องช่วยกันรักษาไว้
จะต้องกำหนดเป้าหมายของการกาบัตรเลือกตั้งให้ชัดเจน
สถานการณ์ที่มีการใช้อำนาจเข้ากำหนดแบบเด็ดขาดเช่นนี้
นักการเมือง หรือพรรคการเมืองที่จะเข้ามาหยุดยั้ง เปลี่ยนทางการบริหารปกครองประเทศไปสู่ประชาธิปไตยที่ให้ความเคารพในเสรีภาพที่เท่าเทียมได้ จะต้องเป็นนักการเมือง หรือพรรคการเมืองที่ “กล้าหาญ” และ “เด็ดขาด” ในอุดมการณ์เพื่อประชาชน
นักการเมืองและพรรคการเมืองที่แม้จะยืนอยู่ข้างประชาธิปไตย แต่ยังอึกอักอยู่กับหาทางออกไว้ให้ตัวเอง เพื่อรักษาโอกาสในการเข้าสู่อำนาจรัฐ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร ดูจะไม่มีประโยชน์นักสำหรับยุคสมัยเช่นนี้
และจะว่าไปจะกลับกลายเป็นแนวร่วมความชอบธรรมให้กับอำนาจนิยมเสียมากกว่าด้วยซ้ำ
ดังนั้น ถ้าหวังว่าการเลือกตั้งจะเป็นโอกาสที่ลืมตาอ้าปาก หายใจให้คล่องได้บ้างในสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาค
“ความกล้าหาญ” ของ “นักการเมือง” หรือ “พรรคการเมือง” ที่ชัดเจนในอุดมการณ์ประชาธิปไตย แน่วแน่ในความคิดที่เห็นว่า “ประชาชนควรเสมอภาคกัน” เป็นทางเลือกเดียว
มีแต่นักการเมือง หรือพรรคการเมืองที่ชัดเจนในอุดมการณ์ที่จะมีพลังและความอดทนต่อที่จะต่อสู้กับ “การเอาเปรียบอย่างไร้ยางอาย” เช่นนั้น