การประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ อันเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ยุติการทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ได้จัดขึ้นวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ ณ กรุงฮานอย เวียดนาม
ผลปรากฏว่า ล้มเหลว
แต่โดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า การเจรจา 2 วัน ได้ผลดียิ่ง ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง
เพราะตกลงกันมิได้ จึงต้องยุติกะทันหัน
ไม่ว่าทรัมป์จะใช้วาทกรรมอย่างใดก็มิอาจปิดบังความจริงได้
ช้างทั้งตัวใบบัวย่อมปิดไม่มิด
เพื่อการประชุมทวิภาคีในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างได้ทำการบ้านอย่างดี เพื่อต้องการลดช่องว่างในความแตกแยก และได้เตรียมเอกสารเพื่อลงนามในข้อตกลง
การประชุมนำมาซึ่งความปั่นป่วนสับสนแก่สถานการณ์เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ
การประชุมสุดยอดปิดฉากด้วยความล้มเหลว สร้างความฉงนงงงวยแก่ประชาคมโลก ฉงนที่การประชุมระดับสุดยอด จะต้องมีการเตรียมพร้อมล่วงหน้า หากมิฉะนั้นก็คงไม่จัด
ก่อนการประชุม “ทรัมป์” มีความยินดีปรีดาที่จะพบกับ “คิม” มุมมองของสังคมคือทั้งสองฝ่ายสามารถขจัดปัญหาความแตกแยกได้ และคงพร้อมที่จะออก “แถลงการณ์ฮานอย”
ทว่าผิดคาด
ซัมมิต “ทรัมป์-คิม” ครั้งที่ 2 มิเพียงยุติก่อนเวลากำหนด หากยังยกเลิกการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน และไม่มีการลงนามในเอกสารใดๆ
ประชาคมโลกได้พรรณนาว่า การทำงานของทรัมป์และคิมถือเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดา เพราะว่าการพลิกผันเปลี่ยนแปลงอย่างทันทีทันใดนั้นเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย
เมื่อเดือนมิถุนายน 2018 ที่สิงคโปร์ เป็นการเจรจาครั้งแรกระหว่างทรัมป์กับคิม แก่นสารยังมีไม่มาก ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐไม่พอใจแถลงการณ์ที่ไม่ระบุเปียงยางต้องให้คำมั่นว่า “ยินยอมให้ตรวจสอบรายละเอียดการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ พร้อมกับยืนยันว่าจะไม่กลับหลัง” เพราะเขาเห็นว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ถอยมากเกินไป
เวลาผ่านมาครึ่งปี แม้ว่าสหรัฐและเกาหลีเหนือต่างก็เข้าใจเจตนาดีต่อกัน อาทิ สหรัฐและเกาหลีใต้ยุติการซ้อมรบชั่วคราว เกาหลีเหนือได้ส่งคืนซากศพทหารอเมริกัน เป็นต้น
แต่ประเด็นปลดอาวุธนิวเคลียร์และมาตรการคว่ำบาตรยังมีความคืบหน้าไม่มาก เพราะว่าวอชิงตันยืนยันใช้มาตรการคว่ำบาตรชนิดแข็งกร้าวไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนปรน
กระทั่งเดือนกันยายน 2018 มีการประชุมสุดยอดระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ นายมุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ถ้าวอชิงตันยอมผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร เกาหลีเหนือก็ยินดีจะรื้อถอนศูนย์ทดลองนิวเคลียร์ยองเบียงอย่างถาวร ตลอดจนอนุญาตให้ประชาคมโลกเข้าทำการตรวจสอบอุปกรณ์ขีปนาวุธ
เป็นโอกาสในการขจัดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ และก็เป็นที่มาของการจัดการประชุมสุดยอดระดับทวิภาคีครั้งที่ 2 ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์และคิม จอง อึน
เงื่อนปมของการเจรจาครั้งนี้มี 2 ประเด็น
1.สหรัฐขอให้เกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์ก่อน จึงจะเจรจามาตรการคว่ำบาตร
2.สหรัฐและเกาหลีเหนือมองต่างกันในคำนิยาม “ปลดอาวุธนิวเคลียร์”
วอชิงตันต้องการให้เกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์ฝ่ายเดียว แต่เปียงยางหมายถึงปลดอาวุธนิวเคลียร์เฉพาะคาบสมุทรเกาหลี ฉะนั้น เกาหลีเหนือจึงขอให้สหรัฐต้องรื้อถอน Nuclear Shock ออกด้วย เท่ากับถอยกันคนละก้าว และแบ่งระยะเวลาการปลดอาวุธนิวเคลียร์เพื่อแลกเปลี่ยนกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่มีเงื่อนเวลา สหรัฐยังขอให้เกาหลีเหนือทำรายละเอียดระบุการครอบครองอาวุธและสถานที่ตั้งนิวเคลียร์เพื่อการตรวจสอบในอนาคต
ข่าวจากทำเนียบขาวก่อนการประชุมทั้งสองฝ่ายได้กำหนดกรอบแห่งการเจรจาไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งรวมทั้งลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อยุติสงครามเกาหลี และต่างจัดตั้งสำนักงานเพื่อติดต่อประสานงานที่กรุงเปียงยางและวอชิงตัน เพื่อเป็นการปูทางไปสู่การสถาปนาทางการทูต ตลอดจนประเด็นปิดศูนย์ทดลองนิวเคลียร์ยองเบียง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรตามลำดับ
แม้กระทั่งโดนัลด์ ทรัมป์ก็ยอมรับว่า เอกสารได้เตรียมเรียบร้อยพร้อมลงนาม แต่ในที่สุดเห็นว่ายังไม่สมควรที่จะลงนาม
นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่า เกาหลีเหนือได้ปิดบังซ่อนเร้นรายการอาวุธนิวเคลียร์และอุปกรณ์ส่วนหนึ่ง มิได้นำมาเจรจากันในที่ประชุม
โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ความล้มเหลวของการประชุมสุดยอดเกิดจาก “คิม จอง อึน” ขอให้ยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อแลกกับการรื้อถอนศูนย์ทดสอบนิวเคลียร์
แต่การปลดอาวุธนิวเคลียร์เพียงจุดเดียวเพื่อแลกกับยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดนั้นมิใช่จุดยืนของเกาหลีเหนือ
คำพูดของทรัมป์จริงเท็จเพียงใดยากที่จะคาดเดาได้ เพราะสื่อเกาหลีเหนือรายงานว่า สหรัฐนอกจากยืนอยู่บนพื้นฐานการเรียกร้องให้รื้อศูนย์ทดลองแล้ว ยังเรียกร้องให้ปลดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดด้วย จึงจะยอมผ่อนปรนการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวของการประชุมขั้นสุดยอดเกิดจากเกาหลีเหนือบิดพลิ้วซ่อนเงื่อน หรือสหรัฐเปลี่ยนแปลงบนโต๊ะประชุมกะทันหัน เพื่อประสงค์ให้อีกฝ่ายถอยมากกว่านี้
ยังเป็นประเด็นที่ยากแก่การวินิจฉัย คงต้องรอฟังข้อเท็จจริงทางการเกาหลีเหนือก่อน
แต่ที่แน่ๆ คือทั้งโดนัลด์ ทรัมป์, คิม จอง อึน, มุน แจ-อิน และเวียดนามซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคือผู้แพ้ทั้งหมด
โดนัลด์ ทรัมป์ คุยโวเสมอว่าตนเป็นนักเจรจามือฉมัง ทำงามหน้า ดูเสื่อมค่า คิม จอง อึน เดินทางโดยรถไฟจากเปียงยางถึงฮานอยประมาณ 4,000 กิโลเมตร ก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า ส่วนมุน แจ-อิน ทำหน้าที่ล็อบบี้ยีสต์ ล้มเหลว คงจะต้องถูกพรรคการเมืองฝ่ายขวาตาม “เช็กบิล” อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
เวียดนามมีเจตนาที่จะใช้โอกาสในการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมขั้นสุดยอด “ทรัมป์-คิม” เพื่อไต่ระดับการทูตสากล เพื่อวัตถุประสงค์ให้กรุงฮานอยกลายเป็น “เมืองสันติภาพ” และจารึกในประวัติศาสตร์ของโลก แต่ในที่สุดก็ต้อง “ฝันสลาย”
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช