สู่ 24 มี.ค. 62

หลังจากเคลียร์ปัญหาข้อกฎหมายว่า ผู้อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. จะขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงได้หรือไม่ ล่าสุด แกนนำพรรคพลังประชารัฐ จัดคิวให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นปราศรัยหาเสียง 4 จุดใหญ่ 4 ภาค เริ่มจากภาคอีสานบ้านเกิดของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ จ.นครราชสีมา ในวันที่ 10 มี.ค. จากนั้นจะปราศรัยที่ จ.เชียงราย ในวันที่ 16 มี.ค. ภาคใต้ที่ จ.นราธิวาส ในวันที่ 17 มี.ค. และปิดท้ายการปราศรัยใหญ่ในวันที่ 22 มี.ค. ที่สวนลุมพินี กทม.

แกนนำ พปชร.ตั้งเป้าว่าการปราศรัยของนายกฯ น่าจะช่วยดึงคะแนนเสียงให้กับผูัสมัครและพรรคได้จำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคอีสาน ที่พรรคเพื่อไทยและพรรคอื่น ยังครองพื้นที่มีคะแนนนำอยู่ และคาดว่าจะมีประชาชนมารับฟังการปราศรัยของนายกฯอย่างล้นหลาม อย่างไรก็ตาม ทางพรรคเองยังไม่มั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจอย่างไร แต่ได้เตรียมการรองรับไว้พร้อมหมดแล้ว หากนายกฯตัดสินใจว่าจะดำเนินการตามโปรแกรม

บรรยากาศการหาเสียงในเวลาที่เหลือประมาณ 20 วัน ถือว่าเป็นไปอย่างเข้มข้น รัฐธรรรมนูญ 2560 และกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. กฎหมายพรรคการเมือง มีข้อกำหนด ข้อห้ามจุกจิก ทำให้การหาเสียง การเคลื่อนไหวต่างๆ ของผู้สมัครและพรรคการเมือง มีข้อจำกัดมากขึ้น แต่เนื่องจากความก้าวหน้าของการสื่อสารแบบออนไลน์ ทำให้ประชาชนเข้าถึงข่าวสารได้ง่ายขึ้น ประกอบกับปัญหาหลายอย่างรุมเร้าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้การเลือกตั้งยิ่งมีความสำคัญเพราะประชาชนเห็นว่าน่าจะเป็นทางออกจากปัญหาได้ เป็นเหตุให้ประชาชนแสดงความสนใจต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ และเตรียมตัวไปใช้สิทธิกันมาก

คาดหมายกันว่าประชาชนน่าจะออกไปใช้สิทธิถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ถือเป็นตัวเลขที่มากและมีความหมาย ดังนั้น ทุกฝ่ายที่ลงสนามเลือกตั้ง ควรจะได้โอกาสเท่าๆ กัน ไม่น้อยไปกว่ากัน ในกรอบของกฎหมายเดียวกัน กฎกติกามารยาทเดียวกัน ในการชี้แจงแสดงเหตุผลและแนวนโยบายต่อประชาชน เพื่อผู้ใช้สิทธิ จะได้ตัดสินใจลงคะแนนได้อย่างถูกต้อง และหลังจากนั้น ทุกฝ่ายทุกขั้ว ควรเคารพผลการเลือกตั้งที่จะแสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนไปพร้อมๆ กัน เพื่อนำพาประเทศหลุดพ้นจากวงจรวิกฤตที่ยืดเยื้อมากว่า 10 ปีเสียที

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image