ฮึกเหิม กร่าง ย่ามใจ เอารัดเอาเปรียบทุกเม็ด เดินเกมโกงทุกจังหวะก้าว ข่มขู่คุกคาม ปิดปาก ใช้อำนาจอย่างกักขฬะ ไร้สิ้นซึ่งสุจริตยุติธรรมโปร่งใสตรงไปตรงมา
ใครมีโอกาส ใครมีอำนาจก็ใช้โอกาสและอำนาจนั้นข่มเหงฝ่ายตรงข้ามอย่างถึงที่สุด
การเมืองไทยกลับสู่วังวนเดิม
นิสัยชั่วร้ายนี้คล้ายมีอยู่ในสายเลือด !
จึงฮึกเหิม กร่าง ปล่อยให้สมุนบริวารออกคุกคามอย่างกว้างขวาง อหังการถึงขั้นว่า “เลือกพรรคเราสิ แล้วจะไม่มีรัฐประหาร”
ฟังแล้วเหมือนคำโจรที่ขู่ฆ่าถ้าไม่ยินยอมยื่นทรัพย์สินให้แต่โดยดี
เปลี่ยนแปลงการปกครองมาตั้งแต่ 2475 ล่วงมาถึง พ.ศ.นี้
ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมี ก็มีให้เห็น !?
“อำนาจ” เป็นเรื่องของดุลแห่งพลัง
จะต้องมีความเชื่อมั่นในพลังที่หนุนหลัง สมุนบริวารจึงได้กล้ากร่างกล้ากรรโชกกันอย่างนั้น
ต่อเมื่อ “ตื่น” ทั่วทั้งสังคมไทย “อำนาจอธิปไตย” จึงจะเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
“ก้าวข้ามความขัดแย้ง” เป็นเพียงวาทกรรมชวนเชื่อ
มั่นคงในอุดมการณ์ประชาธิปไตยต้องอดทนกับความค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช้ “ความรุนแรง” เข้าระงับหรือจัดการข้อขัดแย้ง
ความแตกต่าง ความไม่ลงรอยซึ่งเป็นความปกติ
ที่ “ไม่ปกติ” คือคนที่เอา “ความขัดแย้ง”มาจุดเป็นประเด็นหวังหาคะแนนนิยม
เว้นเสียแต่การกอบกู้เอกราชเท่านั้นที่ “ผู้ทวงคืน” อาจจำเป็นต้องใช้การลุกขึ้นสู้
แต่กล่าวสำหรับการได้มาซึ่ง “อำนาจรัฐ” ของคนภายในชาติเดียวกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังและจับอาวุธลุกขึ้นสู้ในยุคที่มีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือการที่นายทหารใช้กำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ทั้งหมดนั้นผิดกฎหมาย
แต่วันนี้ สิ้นสุดแล้ว “สงครามเย็น”
ไม่มีความแตกต่างสุดขั้วทางอุดมการณ์ในระดับโลก
ไม่มีแล้ว “กองทัพปลดแอกประชาชน” ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ไม่มี “ขวา” กับ “ซ้าย” ในความหมายเดิมๆ
ถ้าจะมีก็แต่การใส่ร้ายป้ายสีสาดโคลนทำลายกันในระดับหมู่บ้านของโลก
“ความแตกต่าง” เป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ที่ควรใช้สติปัญญาและ “ประชามติ” แก้ปัญหา
แต่ในประเทศเรายังคงมีการข่มขู่กันว่า “เลือกพรรคเรา-เขาไม่ปฏิวัติ” !?!!