บรรยากาศหลังเลือกตั้ง 24 มีนาฯ ว่ากันถึงเสียงร้องเรียนฝ่ายตรงข้าม ถือเป็นปกติธรรมชาติการเมืองไทย
แต่ในความปกติก็มีสิ่งไม่ปกติ ต้นเหตุจากกระบวนการจัดเลือกตั้ง กกต.ตกที่นั่งหมู่บ้านกระสุนตก
บางหน่วยเลือกตั้งมีบัตรเลือกตั้งมากกว่าผู้มาใช้สิทธิ
การนับคะแนน ขานบัตรเสียเป็นบัตรดี แล้วขานบัตรดีเป็นบัตรเสีย
หีบบัตรเลือกตั้งเขตเลือกตั้งหนึ่ง ไปโผล่อีกเขตเลือกตั้ง ก็มีให้เห็น
หรือสูตรคำนวณหา ส.ส.บัญชีรายชื่อลงไปยังพรรคการเมือง ซับซ้อน หลายชั้นหลายเชิง ยังถกเถียงกันไม่เสร็จ
สารพัดแห่งความสับสน ที่สุด กกต.ต้องประเดิมเปิดนับคะแนนใหม่-จัดการเลือกตั้งใหม่ในบางหน่วย
เติมความไม่ปกติเข้าไปอีก พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. อาศัยโอกาสวันสถาปนากองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ครบรอบ 112 ปี ระบายความเป็นห่วงบ้านเมืองท่ามกลางวาทกรรมแบ่งฝ่าย “ประชาธิปไตย-เผด็จการ” ไปจนถึงวาทะ “ซ้ายดัดจริต”
ไม่ใช่เพลงพาไป หากแน่นอน หนักแน่น สไตล์ชายชาติทหาร ส่งผ่านไปถึงบางกลุ่ม บางคน
บางฝ่ายของสังคมมองว่า กองทัพกำลังก้าวเข้ามาในปริมณฑล “การเมือง” (อีกแล้ว)
บังเกิดแคมเปญล่ารายชื่อในเว็บไซต์ change.org ปักธงถอดถอนท่าน ผบ.ทบ.
จนถึงวันนี้คงร่วมล้านชื่อเข้าไปแล้ว
แม้ปฏิบัติการล่ารายชื่อมีสถานะเสมอแค่ความเคลื่อนไหว ตามที่รองนายกฯวิษณุอธิบายไว้
รัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่มีบทบัญญัติเรื่องถอดถอนบุคคลจากตำแหน่งใดก็ตาม และไม่ต้องเป็นหมื่นเป็นแสน เพียงแค่เข้าชื่อได้ 5-30 คน ก็สามารถเข้าชื่อร้องได้ แต่ต้องเสนอผ่านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จะตรวจสอบหรือยกคำร้อง ก็ว่าไปตามกระบวนการ
เท่ากับการล่ารายชื่อครั้งนี้ มีผลลัพธ์ “เพียงจิตวิทยาเท่านั้น ไม่ทำให้เกิดเหตุอะไรโดยตรง”
แต่อุณหภูมิก็ไต่ระดับขึ้นเหนือไปถึงกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จ.พิษณุโลก
พลโท ฉลองชัย ชัยยะคำ แม่ทัพภาคที่ 3 ตามคิวนัดสื่อมวลชนชี้แจงภารกิจของหน่วยในการช่วยเหลือประชาชน นำกำลังพลร่วมดับไฟป่าจังหวัดภาคเหนือ
จับพิกัดสารที่ต้องการสื่อ เป็นการประกาศจุดยืนของกองทัพภาคที่ 3
“ดำรงไว้ซึ่งอธิปไตย ความมั่นคงของชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นองค์กรทหารอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความพร้อม ในการช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนในยามวิกฤตทุกเหตุการณ์…ขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกท่าน ได้ร่วมกันสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ร่วมรับรู้ข้อมูลข่าวสารบ้านเมืองด้วยการไตร่ตรอง มีสติ มีวิจารณญาณบนพื้นฐานข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายเพื่อให้เกิดความสงบสุขร่วมกันในสังคมไทย…และสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
และ
“กองทัพภาคที่ 3 มีความเป็นห่วงเป็นใยเยาวชนรุ่นใหม่ น้องๆ คนรุ่นใหม่ ที่อยากให้คิดถึงความเป็นจริงของสังคม ของประเทศชาติ ในความเป็นตัวตน ความมีประวัติศาสตร์ น้องๆ เด็กรุ่นหลังบางทีไม่เข้าใจ จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ อีกทั้งเรื่องของสื่อโซเชียล เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจและยอมรับในระบอบระเบียบและเคารพในกฎหมาย เพราะถ้าไม่อย่างนั้นสังคมอาจเกิดความแตกแยกได้ รวมไปถึงการระมัดระวังเรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริงด้วย”
ประกาศจุดยืน คลับคล้ายคลับคลาทำนอง “คนละเรื่องเดียวกัน” กรณีวาทกรรมแบ่งฝ่าย “ประชาธิปไตย-เผด็จการ” หรือไม่ สอดคล้องอย่างไร คงมีคำตอบอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เมื่อถอดรหัสก็ให้รู้สึกบรรยากาศการบ้าน การเมือง มันร้อนผะผ่าวยังไงชอบกล
สัญญา รัตนสร้อย