ที่มา | คอลัมน์ สยามประเทศไทย มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
“ความคิดเสรี และความคิดเชิงวิพากษ์ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของการศึกษามนุษยศาสตร์
ผู้เรียนมนุษยศาสตร์มีเสรีภาพที่จะติดตามการศึกษาเรื่องอะไร และอย่างไร ได้อย่างอิสระเสรี แต่ต้องพร้อมจะรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่น
ดังนั้น ห้องเรียนมนุษยศาสตร์ต้องเป็นห้องเรียนประชาธิปไตย ถึงแม้บรรยากาศมหาวิทยาลัยปัจจุบันจะมืดมนลงก็ตาม”
“วิธีคิดทางมนุษยศาสตร์จะได้รับการฟื้นฟูขึ้นในการศึกษาของมนุษย์ได้ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้คน
ไม่ใช่ด้วยอำนาจของรัฐในการจัดการศึกษา หรือด้วยอำนาจของนักการเมืองที่ฉวยโอกาสร่วมมือกับคณะรัฐประหารเพื่อจัดการศึกษาตามอุดมคติของตน”
“ประชาธิปไตยจึงขาดไม่ได้ในการศึกษามนุษยศาสตร์ทั้งในเชิงปฏิบัติ คือการเรียนการสอน และการยืนยันคุณค่าของวิธีคิด”
สรุปจากบทความเรื่องวิพากษ์มนุษยศาสตร์/มนุษยศาสตร์วิพากษ์ : น้ำยามนุษยศาสตร์ในสังคมไทย ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ [พิมพ์ใน ชุมทางอินโดจีน : เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปริทัศน์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จ. พิษณุโลก ปีที่ 5 ฉบับที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน) 2559 หน้า 19-20]
ตรวจสอบได้
ประวัติศาสตร์โบราณคดีอยู่ในกลุ่มมนุษยศาสตร์ ก็ต้องมีเสรีภาพที่จะวิพากษ์วิจารณ์ และรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์
จะครอบงำอย่างมัดมือชกมิได้ว่าศิลาจารึกถูกต้องแม่นยำไม่เป็นที่สงสัย จัดเป็นหลักฐานชั้นที่ 1 เช่น ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ฯลฯ
ศิลาจารึกทุกหลักต้องถูกตรวจสอบก่อนใช้งาน เพราะทำขึ้นโดยมนุษย์ที่ล้วนมีความไม่เป็นกลางพอๆ กับจดหมายเหตุ, พงศาวดาร, ตำนานนิทาน ฯลฯ
ประวัติศาสตร์โบราณคดีของไทย ได้ต้นแบบจากเจ้าอาณานิคมยุโรป ราว 100 ปีมาแล้ว ต้องเปิดช่องให้นักศึกษาและประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ได้ โต้แย้งได้ตลอดเวลา
แต่มหาวิทยาลัยไทยเปลี่ยนมนุษยศาสตร์ให้กลายเป็นเครื่องมือของการครอบงำมากกว่าครึ่งศตวรรษ เพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มที่อิงเผด็จการ
มหาวิทยาลัยหลายแห่งจึงปิดกั้นนิสิตนักศึกษามิให้มีกิจกรรม ไม่ว่าทางการเมือง หรือทางวิชาการตรงข้ามกระแสหลัก