หลังการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม บังเกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าในที่สุดแล้ววันที่ 9 พฤษภาคม กกต.จะต้องประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่แค่ “ไม่เป็นทางการ” ก็ทำให้การเมืองฝุ่นตลบ
ทั้งปรากฏข่าว “งูเห่า” ที่สังกัดพรรคซึ่งไปยึดโยงจับมือกับขั้วการเมืองหนึ่ง แต่กระโจนไปอยู่กับพรรคอีกขั้วการเมืองหนึ่ง
ทั้งปรากฏการณ์ความขัดแย้งเรื่องวิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดอย่างหนึ่ง แต่กฎหมายลูกไปกำหนดอีกอย่าง
ทั้งปรากฏการณ์ “คดีการเมือง” ที่เริ่มพาดพิงกล่าวโทษไปถึงพรรคการเมืองและนักการเมือง
ทุกอย่างล้วนมีความเกี่ยวพันกับขั้วการเมืองที่จะจับมือกัน
ทุกอย่างเกี่ยวพันกับการตั้งไข่รัฐบาลใหม่
เหตุที่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น เพราะผลการเลือกตั้งที่ออกมาแบบ “ไม่เป็นทางการ” ยืนยันจำนวน ส.ส.ระบบเขตที่พรรคเพื่อไทยได้มากที่สุด ขณะเดียวกันยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐมีคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตสูงสุด
กระทั่งบานปลายกลายเป็นศึกชิงความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล โดยหวังจะดึงพรรคการเมืองอื่นๆ มาสนับสนุนให้ได้จำนวนเสียง ส.ส.เกิน 250 เสียง
เพื่อจัดตั้งรัฐบาล
ดูเหมือนว่าความตั้งใจของ กรธ.ผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่อยากเห็นทุกคะแนนเสียงของประชาชนมีคุณค่าจะประสบผล เพราะพรรคการเมืองทุกพรรคต่างให้ความสำคัญกับทุกคะแนนที่ตัวเองได้รับ
ความเห็นต่างกันเรื่องการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อบานขยายกลายเป็นเรื่องที่ กกต.ต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ
แม้แต่ประเด็นว่าสมควรยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาที่มีการถกเถียงกันฝุ่นตลบ
ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา แม้จะเป็นวันหยุดยาว ซึ่งปกติแล้วข่าวสารจะนิ่งๆ
แต่สำหรับปีนี้ทุกวันที่ผ่านไป มีประเด็นทางการเมืองสุดฮอตออกมาเรื่อยๆ
บางประเด็นร้อนจนเกิดควันโขมงขึ้นมา
เมื่อปรากฏข่าวว่าพรรคเศรษฐกิจใหม่ และพรรคประชาธิปัตย์บางส่วนจะโยกไปสมทบกับพรรคพลังประชารัฐ
กระแสในโซเชียลได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรง จนกระทั่ง “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” หัวหน้าพรรค ต้องออกแถลงการณ์
ยืนยันจุดยืนไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ
แล้วสุดท้ายก็เกิดแรงกระเพื่อมภายในพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่มีสมาชิกพรรคยื่นให้ กกต.พิจารณายุบพรรคเพราะนายทุนครอบงำ
เรื่องราวกลายเป็นคดีที่รอการตัดสิน
เป็นคดีที่เกิดขึ้นทางฟากฝั่งของพรรคขั้วเพื่อไทย ที่ประกาศจับมือกับพรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคพลังปวงชนไทย
เป็นคดีการเมืองที่ประจวบเหมาะเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่กำลังมีความเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐบาลกันพอดี
บังเอิญที่เกิดขึ้นเหมือนกับการเรียก “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มารับข้อกล่าวหา
บังเอิญที่เกิดขึ้นกับ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ต้องข้อกล่าวหา “หมิ่นศาล”
เป็นความบังเอิญที่มีผลกระทบทางการเมืองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
อาการฝุ่นตลบ ควันโขมงเช่นนี้ทำให้เกิดกระแสข่าวสะพัดเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ
“เทพไท เสนพงศ์” จากพรรคประชาธิปัตย์ บอกสาเหตุที่เสนอเรื่องรัฐบาลแห่งชาติว่า “เพราะเห็นว่าหลังจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ผ่านพ้นไป การเมืองในประเทศไทยจะต้องมีความคืบหน้า ไม่ใช่ว่าทั้ง 2 ขั้วการเมืองยังก้ำกึ่ง ตกลงเรื่องการรวมเสียงตั้งรัฐบาลกันไม่ได้”
และ “หากให้มองข้ามไปถึงกรณีที่ว่ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรวมเสียงตั้งรัฐบาลได้ การบริหารราชการแผ่นดินก็จะเป็นไปในลักษณะรัฐบาลปริ่มน้ำ ไม่มีเสถียรภาพ
ดังนั้น จึงเห็นว่าข้อเสนอที่เสนอไปน่าจะเป็นทางออกได้”
แต่ข้อเสนอดังกล่าวยังไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายใด แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ
เหตุที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะมีความมั่นใจว่าการตั้งรัฐบาลตามภาวการณ์ปกติจะเกิดขึ้นได้
แล้วหลังจากนั้น จึงค่อยแก้ปัญหาต่อไป
ความห่วงใยเรื่อง “เสียงปริ่ม” มิได้มีแค่นายเทพไท หากแต่ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ก็แสดงความเป็นห่วงด้วย
ทั้งนี้เพราะการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอาจไม่มีปัญหา เพราะใช้เสียง 2 สภาร่วมกันโหวต
เสียง ส.ว. 250 เสียงย่อมโหวตให้ คสช.
แต่เมื่อใดที่มีการพิจารณากฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร อาการ “เสียงปริ่ม” เช่นนี้สุ่มเสี่ยงต่อเสถียรภาพรัฐบาลมาก
โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของรัฐบาล
จึงไม่แปลกที่นายไพบูลย์จะเสนอความเห็นอันแหลมคมว่าให้ใช้ ม.270 คือให้ ส.ว.เข้ามาร่วมพิจารณากฎหมายอื่นๆ ด้วย
หากแต่ข้อเสนอดังกล่าวยังไม่เป็นที่ตอบรับ
แม้แต่วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ก็ยังบอกว่าทำได้ไม่ทั้งหมด
ดูเหมือนว่าในช่วงตั้งไข่รัฐบาลใหม่จะติดขัดไปหมด เมื่อเสียง 2 ขั้วมีความใกล้เคียงกัน บรรดาพรรคการเมือง และ ส.ส.ที่ “สงวนท่าที” ของตัวเองมากขึ้น
ขณะเดียวกันบรรดากองเชียร์ของทั้ง 2 ขั้วก็เฝ้าจับตาดูพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ตัวเองเลือก
กรณี “งูเห่า” อาจจะเกิดขึ้น แต่ผลที่ตามมาหลังจากเกิด “งูเห่า” ก็ไม่มีใครคาดเดาได้ว่ากองเชียร์ที่ผิดหวังจะลงโทษเช่นไร
กรณีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ต้องขึ้นกับดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายเชื่อว่ายึดกฎหมายและสามารถทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความ “สุจริต เที่ยงธรรม” ได้
กรณีการแจกใบเหลือง แดง ส้ม เบื้องต้นอาจส่งผลให้ ส.ส.พรรคการเมืองหนึ่งลด แต่ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่จะทำให้ ส.ส.ขั้วการเมืองนั้นลดลงหรือเพิ่มขึ้นเช่นไร ยังไม่มีใครทราบได้
สถานการณ์การเมืองในห้วงเวลานี้ยังฝุ่นตลบ ควันโขมง
ทุกอย่างยังคง “ไม่เป็นทางการ” ไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะประกาศออกมา
วันนั้นทุกอย่างเป็นทางการ แล้วหลังจากนั้นปฏิบัติการตั้งไข่รัฐบาลใหม่ก็จะเกิดขึ้นอย่างจริงจัง
ทั้ง “งูเห่า” ทั้งผลคดี และอะไรต่อมิอะไรที่มัวๆ จะปรากฏอย่างแจ่มชัดขึ้น
เพียงแต่ผลจากความชัดแจ้งที่ได้เห็น จะดีหรือเสียต่อการเมืองไทยนั้น
คงต้องลุ้นกันอีกที