ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
เผยแพร่ |
เหตุปัจจัยอะไรทำให้เรื่องของ “การเลือกตั้ง” มีความสัมพันธ์กับ “ประชามติ” ทั้งๆ ที่เป้าหมายมีความแตกต่างกัน
การเลือกตั้งต้องมี “คู่แข่ง” หรือคู่ “สัประยุทธ์”
ขณะที่การประชามติมิได้มีคู่แข่ง มิได้มีคู่ต่อสู้ เพราะที่เสนอตัวเข้ามาคือ “ร่างรัฐธรรมนูญ” อันผ่านกระบวนการของ “คณะกรรมการ”
ในความเป็นจริง “ประชามติ” กับ “การเลือกตั้ง” มีความสัมพันธ์กัน
เพราะหากประชามติ “ร่างรัฐธรรมนูญ” ผ่านความเห็นชอบ หมายถึงโอกาสที่จะมี “การเลือกตั้ง” ตามโรดแมปก็จะเป็นไปได้สูงยิ่ง
หากประชามติ “ไม่ผ่าน” ก็จะเนิ่น-ยาวออกไป
กระบวนการเช่นนี้เองที่นำไปสู่บทสรุปอย่างรวบรัดในลักษณะว่า หากประชามติ “ร่างรัฐธรรมนูญ” ไม่ผ่านความเห็นชอบ ก็ร่างกันใหม่
เหมือนกับจะเป็นแค่นั้น ไม่มีอะไรซับซ้อน
กระนั้น ก็ยังมีปัจจัยอันสะท้อน “ความเป็นจริง” หลายประการในทางการเมืองที่แสดงให้เห็นว่า ไม่น่าจะง่ายดายอย่างนั้น
ตรงนี้แหละที่เขาเรียกว่าเป็น “ความละเอียดอ่อน” เป็น “ความอ่อนไหว”
ถามว่ากระบวนการร่างและจัดทำ “รัฐธรรมนูญ” มีความสัมพันธ์กับสถานการณ์ของการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 หรือไม่
ตอบได้เลยว่า “สัมพันธ์”
1 เพราะรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 บัญญัติไว้ในมาตรา 35 กำหนดกรอบของการยกย่างรัฐธรรมนูญเอาไว้ครบถ้วน
นี่จึงเหมือนกับเป็น “ธง”
ขณะเดียวกัน 1 ไม่ว่าจะปรากฏในชื่อ “คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” ไม่ว่าจะปรากฏในชื่อ “คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” ล้วนมาจาก “คำสั่ง” และกระบวนการของ คสช.และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557
เรียกได้ว่าเป็น 1 ใน “แม่น้ำ 5 สาย”
อย่าได้แปลกใจที่ “รายละเอียด” ของร่างรัฐธรรมนูญไม่ว่าในชุดของ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ไม่ว่าในชุดของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ จึงล้วนอยู่ในการกำกับและควบคุมภายใน “แม่น้ำ 5 สาย” อย่างเคร่งครัด
เป็นไปตามความต้องการของ “คสช.”
จึงมิใช่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรอกที่อยู่ในฐานะ “เจ้าภาพ” หากเป็น 1 คสช. 1 ครม. 1 สนช. 1 สปท.และ 1 กรธ.ที่เล่นบท “เจ้าภาพ” อย่างเต็มพิกัด
เจตจำนงของ “ร่างรัฐธรรมนูญ” เท่ากับเจตจำนงของ “คสช.”
พลันที่ “ร่างรัฐธรรมนูญ” เปิดตัวต่อสาธารณะตั้งแต่เดือนมกราคมและเดินหน้าเข้าสู่การทำประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม
จึงเท่ากับเป็น “ผลึก” แห่ง “กระบวนการ”
ไม่เพียงแต่จะเป็นกระบวนการอันนำไปสู่ “การเลือกตั้ง” ตามโรดแมปภายในปี 2560 เท่านั้น หากแต่ยังเป็นกระบวนการอันสัมพันธ์กับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 อย่างแนบแน่น
มิอาจแยกขาดออกจากกันได้
คล้ายกับว่า ปัญหาจะมาจากความคิดในการคัดค้าน ต่อต้าน ซึ่งพรรคเพื่อไทยและโดยเฉพาะ นปช.คนเสื้อแดงแสดงออกอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นด้านหลัก
เป็นเช่นนั้น แต่ก็ดำเนินไปอย่าง “ขยายวง”
ขยายวงเพราะบทบาทและความต้องการของ คสช.มิได้ดำรงอยู่เพียงเพื่อมาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในห้วงระหว่างเดือนตุลาคม 2556-พฤษภาคม 2557 เท่านั้น
หากแต่เป็นไปตามบทสรุปของ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่ว่า “เขาอยากอยู่ยาว”
ตรงนี้แหละที่ทำให้วาระครบ 2 ปีของการรัฐประหารอึงอลด้วยบทสรุปและประเมินผลอันมิได้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างที่ คสช.ปรารถนา และเสียงทวงถาม “ประชาธิปไตย” เริ่มดังกึกก้อง แม้กระทั่งภายในพันธมิตรที่เคยร่วมและเห็นด้วยกับ คสช.
นี่คือ ปัจจัย “ใหม่” ซึ่งกำลังพัฒนากลายเป็น “ตัวแปร”
ตัวแปรนี้เองที่เพิ่มความละเอียดอ่อนและความอ่อนไหวให้กับการทำประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม
นั่นก็คือ ไม่เพียงแต่จะเป็นคำตอบว่าจะยอมรับ “ร่างรัฐธรรมนูญ” หรือไม่ หากแต่ยังจะสามารถยอมรับ “คสช.” ให้อยู่ในสถานภาพแห่ง “ผู้ปกครอง” อันทรงอำนาจต่อไปอีกได้หรือไม่
ในที่สุด จะเป็น “ประชามติ” รับหรือ “ไม่รับ” คสช.มากกว่า