⦁…เพราะ “ธงการเมือง” ปักไว้ที่ “ไม่เสียของ” แต่ “ผลการเลือกตั้ง” ที่ประเพณีปฏิบัติต้องให้ “พรรคที่ได้ ส.ส.มากกว่า” เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน จึงจะหมดปัญหาเรื่อง “ความชอบธรรม” เมื่อ “ไม่เสียของ” ฝืนกับ “ความชอบธรรม” ความโกลาหลหลังเลือกตั้งจึงเกิดขึ้น โดยองค์กรที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง”
⦁…แม้ “ดีไซน์รัฐธรรมนูญ” ให้ “จำนวน ส.ส.เขตไปตัดสิทธิปาร์ตี้ลิสต์” เพื่อ “บอนไซพรรคใหญ่” แต่ที่สุดแล้ว “เพื่อไทย” ยังได้ ส.ส.มากที่สุด จำเป็นต้องสร้าง “ความชอบธรรมแบบใหม่” อ้าง “ใครรวมเสียงในสภาได้มากกว่า มีความชอบธรรมกว่า” แต่ “พรรคฝ่ายที่จะทำให้เสียของ” จับมือกันแน่น พยายาม
“เพาะพันธุ์งูเห่า” แล้ว แต่ไม่สำเร็จ กระซิบกันให้แซดว่า ความหวัง “ไม่เสียของ” จะเป็นได้ จึงฝากไว้ที่ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง”
⦁…ทางหนึ่ง ทำให้ “พรรคฝ่ายต้าน” เสียงลดลง วิธีการคือ “ยื่นคำร้อง” กดดัน “กกต.” เล่นงาน เป้าหมายที่โดนถล่มหนักอยู่ตอนนี้คือ “อนาคตใหม่” ทั้งหัวหน้าพรรค “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค เจอคดีกันอ่วม พร้อม “ส.ส.” ในพรรคอีกหลายคน บีบกันแรงถึงขั้น “ยุบพรรค”
⦁…เป้าหมายแรก ข้อหา “ผู้สมัครถือหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจสื่อ” ที่เป็นเครื่องมือไล่ล้าง แม้จะถูกตอบโต้ทั้งจาก “อนาคตใหม่” และ “กระแสสังคม” แต่ดูเหมือนว่าจะเป็น “อาวุธ” ที่ได้ผล เพราะอาศัยการตีความตามตัวอักษร โดยไม่ให้น้ำหนักกับ “เจตนารมณ์ของกฎหมาย” ที่อธิบายกันได้หลายมุม สามารถใช้กวาดล้างได้เป็นฝูง การจะถูกตอบโต้ด้วยการร้องเรียนให้สอบให้ทั่วถึง รวมผู้สมัครจาก “พรรคพลังประชารัฐ” ด้วย ยิ่งเข้าทาง ด้วยเป้าหมายอยู่ที่ “ลดสัดส่วนที่มากกว่าของฝ่ายตรงกันข้ามลง” เมื่อประเมินแล้ว ได้มากกว่าเสีย ทำให้ “การยอมเสียบ้าง” ยิ่งเป็นข้ออ้าง “ความชอบธรรม” ว่า “ทุกพรรคโดนกันหมด” ไม่ใช่เรื่อง “กลั่นแกล้งใคร”
⦁…อาจจะมีความน้อยอกน้อยใจของ “พรรคพวก” อยู่บ้าง แต่ที่สุดแล้วจะถูกทำให้ยอมรับว่า “เป็นธรรมดาของสงคราม” ที่ต้อง “สูญเสีย บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย” เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่สูญเสียหรือไม่ แต่อยู่ “ชนะหรือเปล่า” และเมื่อ “ฝ่ายชนะ” สามารถเยียวยา ให้รางวัลปลอบขวัญ “ผู้สูญเสีย” ได้มากกว่าและดีกว่า “ความน้อยใจ” ก็จัดการได้ไม่ยาก
⦁…อีกทาง บีบ “กกต.” ให้คิดคะแนน “ปาร์ตี้ลิสต์” ในแบบที่เปิดโอกาสให้ “ฝ่ายสนับสนุนสืบทอดอำนาจได้ ส.ส.เพิ่ม” โดยตีความให้ “พรรคเล็กพรรคน้อย” เข้ามาอยู่ในข่ายได้สิทธิ “ส.ส.พึงมี” แม้งานนี้ต้องระดมสรรพกำลังกันทุกด้าน ด้วยลำพัง “กกต.” น่าจะเกินกำลังรับไหว แต่ที่สุดแล้ว จำเป็นต้องทำเพื่อไม่ให้ “เสียของ” ก็ต้องจัดการให้เกิดขึ้นให้ได้ ปิดทุกทางไม่ให้เป็นอื่น “นายกรัฐมนตรี” ที่มี “คำตอบ” ไว้แล้วก่อนเลือกตั้ง “ต้องเป็นไปตามนั้น”
⦁…ไม่ว่า “ฝ่ายต่อต้านการไม่เสียของ” จะดิ้นรนอย่างไร ความเคลื่อนไหวที่รับรู้กันในแวดวงการเมืองคือ มีเคลียร์กันในระดับหนึ่งแล้วว่า “พรรคใดจะได้โควต้ารัฐมนตรีกี่เก้าอี้ กระทรวงไหนบ้าง” เลยไปถึง “บางพรรคต้องแลกกับเงื่อนไขรับผิดชอบรวบรวมพรรคเล็ก และงูเห่ามาให้ได้ตามจำนวนสัดส่วนโควต้า” เมื่อไม่สำเร็จใน “ผลการเลือกตั้ง” ก็ต้องสอบซ่อม ด้วยคะแนนจาก “กิจกรรมนอกเกม” การเมืองหลังเลือกตั้งจึง “โกลาหล” จะได้เห็นสภาวะ “กลืนน้ำลายตัวเอง” ลืมปณิธาน “ปฏิรูปการเมือง” กันเป็นแถว
⦁…ว่ากันว่า “กระทรวง” ที่จะต้องต่อรองกันหนักที่สุดเป็น “คมนาคม” กับ “พลังงาน” แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา เพราะที่สุดแล้ว ใช้วิธีเพิ่ม “รัฐมนตรีช่วย” เข้าไปก็จบ เพราะกฎหมายกำหนดไว้แค่ “จำนวนรัฐมนตรี” ไม่ได้บังคับว่า “กระทรวงไหนต้องมีกี่คน” จึงลดกระทรวงนี้ ไปเพิ่มกระทรวงโน้นได้ ไม่ใช่โจทย์ยาก เพียงแต่ว่า “คำถาม” ที่มากระตุ้นให้นึกถึงอยู่เป็นระยะๆ เพียงยังไม่มีเวลาที่จะขบคิดอย่างมีสมาธิในการหาคำตอบที่กระจ่าง ด้วยยังยุ่งอยู่กับ “การทำให้ไม่เสียของ” คือ “รัฐบาลที่มีสภาพทุลักทุเลแบบนี้จะอยู่กันได้นานแค่ไหน”
ชโลทร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่