สุจิตต์ วงษ์เทศ : งานศพอุษาคเนย์และไทย คนตาย ขวัญไม่ตาย

พิธีศพของคนในภูมิภาคอุษาคเนย์ อาจนับเป็นพิธีศพยาวนานหลายวันที่สุดในโลกก็ได้ ที่สนุกสนานรื่นเริงด้วยการร้องรำทำเพลงเพื่อเรียกขวัญที่หายไปให้กลับคืนร่างเดิม
เพราะเชื่อว่าคนที่นอนนิ่งอยู่นั้นขวัญหายหรือขวัญหนีไปชั่วคราว อีกไม่นานจะกลับมาคืนร่างเดิมเป็นปกติ

จึงมีภาพเขียนสีบนผนังถ้ำหรือบนเพิงผา มีอายุราว 2,500 ปีมาแล้ว เป็นขบวนแห่ตีฆ้องกลองและกระบอกไม้ไผ่เนื่องในงานศพ ซึ่งต้องเริ่มด้วยทำขวัญ มีเลี้ยงผี
เครื่องดนตรีงานศพอย่างนี้จะมีพัฒนาการต่อไปข้างหน้าเป็นเครื่องประโคมเป่าปี่ตีฆ้องกลองงานศพ เรียกวงปี่พาทย์ เป็นลักษณะเฉพาะของอุษาคเนย์ที่ใช้งานพิธีกรรมสำคัญอื่นๆ ด้วย เช่น โขนละคร, ทำบุญทั่วไป

งานศพเกี่ยวข้องกับผี แต่ผีเป็นคำในตระกูลไทย-ลาว หมายถึง อำนาจเหนือธรรมชาติ มี 2 ส่วน ได้แก่ 1.ส่วนที่เป็นตัวตน คือ ซาก (หรือ ร่างกาย) 2. ส่วนที่ไม่เป็นตัวตน คือ ขวัญ (ต่างจากวิญญาณ)

เครื่องปั้นดินเผามีลายเขียนสีเป็นรูปขวัญของคน ใช้ฝังดินรวมกับศพ เพื่อรอขวัญคืนสู่ร่าง ที่บ้านเชียง จ. อุดรธานี
เครื่องปั้นดินเผามีลายเขียนสีเป็นรูปขวัญของคน ใช้ฝังดินรวมกับศพ เพื่อรอขวัญคืนสู่ร่าง ที่บ้านเชียง จ. อุดรธานี

คนตาย ขวัญไม่ตาย

คนตายในความเข้าใจของคนเมื่อหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้ว ไม่น่าจะมีและเป็นอย่างเดียวกับปัจจุบัน
คนแต่ก่อนเชื่อว่าแม้เจ้าของขวัญจะตายไปแล้ว แต่ขวัญยังไม่ตาย เพราะขวัญของผู้ตายจะไปรวมพลังกับขวัญบรรพชนคนก่อนๆ (ที่ฝังอยู่ลานกลางบ้านหรือใต้ถุนเรือนบริเวณเดียวกัน) เพื่อปกป้องคุ้มครองชุมชนและเผ่าพันธุ์ พร้อมทั้งบันดาลความอุดมสมบูรณ์
แต่บ้างก็เชื่อว่าคนที่นอนนิ่งอยู่นั้น ขวัญหายไปชั่วคราว และขณะนั้นขวัญกำลังหาหนทางกลับเหย้าเรือนเดิมและร่างเดิมของตนไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ด้วยความเชื่ออย่างนี้เอง งานศพในไทยสมัยก่อนๆ จึงสนุกสนานรื่นเริงต่อเนื่องหลายวัน (ไม่มีเศร้าโศก) ดูได้จากวรรณกรรม เช่น อิเหนา พรรณนาการละเล่นงานศพ มีละครโขนหนังและดอกไม้ไฟสนุกตื่นเต้นมาก ไม่มีทุกข์โศกคร่ำครวญ
(ครั้นได้รับคติพุทธศาสนาแล้ว ความเชื่อก็ปรับเปลี่ยนไปว่าเมื่อคนตายแล้วก็ไม่มีขวัญ แต่จะมีวิญญาณล่องลอยไปใช้กรรม เมื่อหมดกรรมก็เกิดใหม่)

(ซ้าย) วงกลมมีแฉกอยู่ตรงกลาง เหมือนหน้ากลองทองมโหระทึก ทำคล้ายลายก้นหอยของรูปขวัญบนกลางกระหม่อมของคน อยู่บนภาชนะเขียนสีที่บ้านเชียง ราว 3,000 ปีมาแล้ว (ขวา) ปุ่มนูน มีวงกลมล้อมรอบ เหมือนหน้าฆ้อง แต่ทำวงหลายวงซ้อนกันเหมือนลายขวัญ สลักบนกระดึงสัมฤทธิ์ ราว 3,000 ปีมาแล้ว พบที่บ้านเชียง จ. อุดรธานี
(ซ้าย) วงกลมมีแฉกอยู่ตรงกลาง เหมือนหน้ากลองทองมโหระทึก ทำคล้ายลายก้นหอยของรูปขวัญบนกลางกระหม่อมของคน อยู่บนภาชนะเขียนสีที่บ้านเชียง ราว 3,000 ปีมาแล้ว (ขวา) ปุ่มนูน มีวงกลมล้อมรอบ เหมือนหน้าฆ้อง แต่ทำวงหลายวงซ้อนกันเหมือนลายขวัญ สลักบนกระดึงสัมฤทธิ์ ราว 3,000 ปีมาแล้ว พบที่บ้านเชียง จ. อุดรธานี

ขวัญ

ขวัญ คือส่วนที่ไม่เป็นตัวตนของคนและสัตว์ ซึ่งมีในความเชื่อตรงกันของคนทุกชาติพันธุ์ในอุษาคเนย์
(คำว่า ขวัญ ในตระกูลไทย-ลาว ที่ใช้สืบเนื่องมานานมาก น่าจะเป็นคำร่วมสุวรรณภูมิที่มีมาแต่ดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ มีใช้ในหลายตระกูลภาษา แต่นานเข้าก็ออกเสียงแล้วสะกดต่างไปมากบ้างน้อยบ้าง)
ขวัญมีหน่วยเดียว แต่ฝังกระจายอยู่ทั่วทุกแห่ง หรือทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่เกิดมามากกว่า 30 แห่ง เช่น ขวัญหัว, ขวัญตา, ขวัญมือ, ขวัญแขน, ขวัญขา ฯลฯ และมีความสำคัญมากเท่าๆกับส่วนที่เป็นตัวตนหรือร่างกาย
ทั้งยังมีความเชื่อร่วมกันอีกว่า ถ้าขวัญอยู่คู่กับร่างกาย เจ้าของขวัญจะมีความสุขสบาย แต่ถ้าขวัญออกจากร่างกายไป เจ้าของขวัญจะไม่เป็นปกติ อาจเจ็บไข้ได้ป่วยจนถึงตาย
เมื่อใดก็ตามที่เจ้าของขวัญเจ็บป่วยมาก แสดงว่าขวัญไม่ได้อยู่กับตัว ดังนั้นผู้ใหญ่ในครอบครัวต้องทำพิธีเรียกขวัญให้กลับเข้าสู่ตัว เพื่อให้เจ้าของขวัญอยู่ดีมีสุข
สัตว์และสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและการทำมาหากินของคนล้วนมีขวัญทั้งนั้น เช่น ขวัญวัว, ขวัญควาย, ขวัญเรือน, ขวัญข้าว, ขวัญเกวียน, ขวัญยุ้ง ฯลฯ

ADVERTISMENT
ลายขวัญบนภาชนะเขียนสีบ้านเชียง จ. อุดรธานี ใช้ฝังกับศพ รอขวัญคืนร่าง [ลายเส้นคัดลอกลายเขียนสีบนเครื่องปั้นดินเผา ได้จากหนังสือวัฒนธรรมบ้านเชียงในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เรียบเรียงโดย ชิน อยู่ดี (กรมศิลปากรจัดพิมพ์ในงานเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2515)]
ลายขวัญบนภาชนะเขียนสีบ้านเชียง จ. อุดรธานี ใช้ฝังกับศพ รอขวัญคืนร่าง
[ลายเส้นคัดลอกลายเขียนสีบนเครื่องปั้นดินเผา ได้จากหนังสือวัฒนธรรมบ้านเชียงในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เรียบเรียงโดย ชิน อยู่ดี (กรมศิลปากรจัดพิมพ์ในงานเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2515)]

รูปขวัญ

ขวัญมีรูปร่างเป็นเส้นวงๆวนเวียนซ้อนกันหลายชั้นตามต้องการ ดังลายเขียนสีบนหม้อบ้านเชียงเป็นลายวงๆวนเวียนซ้อนกันหลายชั้น (คล้ายลายก้นหอย) เสมือนมีขวัญของคนตายอยู่ในหม้อใบนั้น
โดยช่างเขียนเคยเห็นลักษณะที่เชื่อว่านั่นคือขวัญ จากบริเวณโคนเส้นผมบนกลางกระหม่อมของทุกคน แล้วยังเห็นตามโคนเส้นขนที่เป็นขวัญบนตัวสัตว์ เช่น วัว, ควาย
ภาชนะเขียนสี ที่บ้านเชียง (อ. หนองหาร จ. อุดรธานี) อายุราว 2,500 ปีมาแล้ว มีลวดลายต่างๆ กัน แต่ที่พบมากจนเป็นลักษณะเฉพาะ แล้วเป็นที่รู้จักทั่วไปเรียกลายก้นหอย (แบบลายนิ้วมือ)
นั่นคือ ลายขวัญ ที่คนยุคนั้นทำขึ้นเพื่อทำขวัญ เลี้ยงขวัญ เรียกขวัญ สู่ขวัญ คนตาย
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าลายสลักรูป

ทำขวัญ

พิธีกรรมเกี่ยวกับขวัญ เรียกว่าทำขวัญ (หรือสู่ขวัญ เรียกขวัญ เลี้ยงขวัญ) ในทุกช่วงสำคัญของชีวิตทั้งเหตุดีและไม่ดี ตั้งแต่เกิดจนตาย
เพื่อให้ผู้รับทำขวัญพ้นจากความวิตกกังวลหวาดกลัวหรือตกใจ ต่อการเปลี่ยนแปลงสู่สภาพแวดล้อมใหม่ ซึ่งเท่ากับสร้างความมั่นใจและความมั่นคงแก่ผู้รับขวัญ
ทำขวัญ, สู่ขวัญ, เรียกขวัญ, เลี้ยงขวัญ เป็นพิธีกรรมที่แสดงความผูกพันและความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติระหว่างบุคคลกับครอบครัว และบุคคลกับชุมชนในสังคมเกษตรกรรม ฉะนั้นพิธีจึงเริ่มจัดให้มีขึ้นอย่างง่ายๆ โดยพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดเท่านั้น
เมื่อรับศาสนาจากอินเดียแล้วพิธีทำขวัญอย่างง่ายๆ ในท้องถิ่นก็ถูกปรับเปลี่ยนให้ซับซ้อนขึ้นโดยรับคติพราหมณ์กับพุทธเข้ามาประสมประสาน
ดังจะเห็นว่าพิธีทำขวัญสมัยต่อมาจนถึงทุกวันนี้มักจะมีบายสีและแว่นเวียนเทียนเป็นเครื่องประกอบ และมีหมอขวัญเป็นผู้ชำนาญขับคำร้องขวัญ คือกล่าวเชิญทั้งผีฟ้าพญาแถนและทวยเทพยดามาปลอบขวัญ
(ทำขวัญปัจจุบัน คนอีสานถูกทำให้เชื่อว่าเป็นพิธีพราหมณ์ ไม่มีเป่าแคนคลอคำสู่ขวัญ แต่ลำผีฟ้ารักษาโรค เมื่อถึงช่วงสุดท้ายต้องมีพาขวัญ สู่ขวัญ เรียกขวัญ และต้องมีเป่าแคนคลอหมอร้องขวัญ)
บายสี เป็นคำเขมร หมายถึงข้าวขวัญ ที่จัดวางในกระทงใบตอง ต่อมารวมกระทงใส่เครื่องสังเวย
จัดบายสีเป็นพิธีพราหมณ์ที่รับมาประสมกับพิธีพุทธใช้เคลือบพิธีผี เช่น พิธีทำขวัญนาค (ที่ไม่มีในพุทธบัญญัติ)

เพลงนางนาค

นางนาค เป็นชื่อทำนองเพลงประโคม (ไม่มีร้อง) ขนาดสั้นๆ เรียกกันทั่วไปว่า เพลงนางนาค ใช้ประโคมในพิธีเวียนเทียนทำขวัญ เช่น ทำขวัญแต่งงาน, ทำขวัญนาค ในฤดูบวชนาค
สมัยแรกๆประโคมเพลงนางนาคซ้ำไปซ้ำมาเพลงเดียว จนกว่าจะเสร็จพิธีที่มีคนร่วมพิธีไม่มาก
ครั้นสังคมขยายตัว มีผู้ร่วมพิธีมากขึ้น จำเป็นต้องประโคมเพลงนานมาก จะทำซ้ำไปซ้ำมาเพลงเดียวก็เบื่อ เลยเพิ่มเพลงอื่นลีลาเดียวกันให้ต่อเนื่อง เรียก “เพลงเรื่องทำขวัญ” แต่ข้อกำหนดสำคัญมีอย่างเดียวคือต้องเริ่มเพลงแรกด้วยนางนาค