เรื่องฮิตสุดยอดในแวดวงสื่อสาร โทรคมนาคมและเทคโนโลยี ในนาทีนี้ เห็นทีจะไม่มีเรื่องไหนฮอตเกินกว่า เรื่องที่สหรัฐอเมริกา “แบน” หัวเว่ย ยักษ์ใหญ่จากจีนแน่นอน
ผลกระทบที่มีต่อสมาร์ทโฟนของหัวเว่ย ซึ่งจะไม่มีสิทธิใช้ “แอนดรอยด์” และองค์ประกอบ อื่นๆ อีกต่อไป (แบบถูกต้องตามกฎเกณฑ์กติกานะครับ) เป็นเรื่องใหญ่พอแรงแล้ว ถ้าเราคำนึงถึงว่า แต่ละปี หัวเว่ย ขายสมาร์ทโฟนได้เป็น 200-300 ล้านเครื่อง
แต่ผลสะเทือนที่เกิดต่อเนื่องตามมายิ่งใหญ่โตมโหฬารมากขึ้นไปอีก นั่นคือเรื่องของห่วงโซ่ซัพพลายในระบบการผลิตอุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย
เหตุเพราะการแบนที่ว่านี้ ครอบคลุมรวมไปถึงการขายและถ่ายโอนเทคโนโลยี ที่ “มีต้นกำเนิดในสหรัฐอเมริกา” ทั้งที่เป็นซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อีกด้วย
แล้วซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์อะไรก็ตาม ที่มีสัดส่วนซึ่งเป็นของเอกชนอเมริกันตั้งแต่ 25 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ถือว่ามีต้นกำเนิดจากสหรัฐอเมริกาและต้องห้ามไม่ให้ขายหรือถ่ายโอนให้หัวเว่ยทั้งหมด
ยุ่งละซีครับ!
ที่ยุ่งเป็นเพราะว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แต่ละชิ้นที่เห็นกันอยู่ในเวลานี้ ไม่ได้เป็นของประเทศไหน หรือของใครโดดๆ หรอกครับ เป็นลูกผสมทั้งนั้น
ตัวอย่างเช่น เออาร์เอ็ม ที่ทำหน้าที่ออกแบบชิปประมวลผล เป็นบริษัทอังกฤษ แต่บริษัทที่ทำหน้าที่นำแบบที่ออกเอาไว้มาผลิตให้เป็นตัวชิปที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตชิปตามออเดอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น คือบริษัทไต้หวัน ชื่อบริษัท ทีเอสเอ็มซี ครับ
ทีนี้แบบที่ เออาร์เอ็ม ออกแบบนั้น พื้นฐานส่วนหนึ่งก็เอามาจากของเดิมที่คนอเมริกันคิดค้นเอาไว้ เลยอยู่ในข่ายต้องห้ามเข้าไปด้วย
นั่นเพราะในโลกเทคโนโลยีทุกวันนี้ ไม่มีใครคิดและเริ่มต้นอะไรใหม่จากศูนย์อีกแล้ว ระบบไลเซนส์ช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีรุดหน้าและหลากหลายมากขึ้นตามลำดับ เพราะนำของเดิมมาพัฒนาต่อ จ่ายค่าธรรมเนียมให้กับผู้คิดเดิมเล็กน้อย ดีกว่ามานั่งคิดใหม่ ออกแบบใหม่กันทั้งหมด
ผู้ที่คิดเทคโนโลยีต้นน้ำแบบนี้มีอยู่ไม่กี่ประเทศหรอกครับ สหรัฐอเมริกาเคยเป็นมาก่อนแต่ระยะหลังนี้ ผลงานการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาทางเทคโนโลยีกลับแพ้จีนอยู่หลายขุม
หัวเว่ยเองก็ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีอาร์แอนด์ดีสูงระดับต้นๆ ของโลกเช่นกัน
ที่ผ่านมาเราได้เห็นกันแค่การ “แบน” ฝ่ายเดียว เรายังไม่ได้เห็นการตอบโต้ด้วยการ “แบน” ลักษณะเดียวกันจากจีน
ถ้าเกิดขึ้นแล้วมีการแบนกันไปแบนกันมา ตอบโต้กันไม่เลิก ทั้งการค้า การผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีของทั้งโลกมีหวังชะลอลงฮวบฮาบ หนักหนาสาหัสอาจถึงขั้นหยุดชะงักเอา
เวรกรรมก็จะตกมาอยู่กับผู้บริโภคเทคโนโลยีอย่างเราๆ ท่านๆ นี่แหละครับ
เพราะทั้งโลกก็จะย้อนกลับไปถึงยุคเหมือนเมื่อครั้งที่ทุกอย่างที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ทันสมัย นั้น ราคาแพงหูฉี่
เหมือนในอดีตเมื่อครั้งที่เราคิดจะอัพเกรดคอมพิวเตอร์กันทีนึง ต้องคิดแล้วคิดอีกเพราะ
แรมชิ้นเดียว แถวเดียว ในตอนนั้นราคาแพงมหาศาลชนิดกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ
ผมไม่ได้คิดอย่างนี้คนเดียวนะครับ นักลงทุนทั้งโลกก็คิดเหมือนกันอย่างนี้ ที่เป็นเหตุผลทำให้ตลาดหุ้นสำคัญๆ ทั่วโลกปิดดิ่งลงต่อเนื่องมาแล้ว 2-3 วันติดต่อกัน
เพราะทุกคนที่ไตร่ตรองเรื่องการแบนหัวเว่ยแล้ว ชักไม่แน่ใจแล้วว่า นี่คือส่วนหนึ่งของความขัดแย้งเรื่องการค้าธรรมดาๆ
แต่อาจเป็นการเปิดศึกเข้าใส่กันเป็นเพื่อหวังผลจะได้เป็นผู้ควบคุมเทคโนโลยีของโลกในอนาคต
ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังนี้จริง โอกาสที่จะยอมยกธงขาวกันง่ายๆ เป็นไม่มีทางแน่นอนครับ
ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์