สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ทั้งประเทศมีเนื้อที่เพียง 724 ตารางกิโลเมตร น้อยกว่าเนื้อที่ของแทบทุกจังหวัดของประเทศไทย ยกเว้นเพียง 3 จังหวัดเท่านั้นคือ นนทบุรี (622 ตร.กม.) ภูเก็ต (543 ตร.กม.) และสมุทรสงคราม (จังหวัดที่มีเนื้อที่น้อยที่สุดในบรรดา 77 จังหวัดของไทย เพียง 417 ตารางกิโลเมตร)
จะทำเกษตรกรรม ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ จึงมีปัญหาอย่างมาก
ที่ผ่านมา สิงคโปร์ทำเกษตรกรรม สร้างอาหารใช้บริโภคกันได้เพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ของอาหารที่ประชากร 5.6 ล้านคน ของสิงคโปร์บริโภคกันในแต่ละปีเท่านั้นเอง
แต่สิงคโปร์กำลังปฏิวัติเกษตรกรรมครั้งใหญ่ ด้วยการใช้เทคโนโลยีระดับสูงเข้าช่วยเพื่อการนี้
รัฐบาลประกาศโครงการใหม่นี้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตั้งเป้าจะผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อให้สามารถเลี้ยงคนในประเทศได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 นี้ คนที่นั่นเลยเรียกโครงการนี้ว่า “30-by30”
คำขวัญของโครงการคือ “โกรว์ มอร์ วิธ เลสส์” ที่สื่อนัยโดยตรงถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อทำให้ได้ผลผลิตมากขึ้น โดยที่ใช้เนื้อที่ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศให้น้อยที่สุด
พอล เต็ง ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย นานยาง เทคโนโลยี ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรกรรมของประเทศ บอกว่า เกษตรกรสิงคโปร์ต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่เวลาพูดถึงเรื่องการผลิตอาหารให้มากพอจนเกิดความมั่นคงทางอาหารขึ้นมาได้ นั่นคืออย่าไปคิดถึง “ที่ดิน” แต่ให้คิดถึง “ที่ว่างๆ” แทน
ภายใต้แนวคิดเรื่องการคำนึงถึง “ที่ว่าง” แทน “ที่ดิน” อย่างนี้ ทำให้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนฟาร์มปลูกผัก “ลอยฟ้า” คือใช้พื้นที่ดาดฟ้าเป็นสถานที่เพาะปลูก หรือไม่ก็เป็น “สวนผักแนวตั้ง” ที่คนสิงคโปร์เรียกว่า “สกาย ฟาร์ม” เพิ่มจำนวนขึ้นมามากกว่าเท่าตัว ตอนนี้มีมากกว่า 30 ฟาร์มแล้ว
ปลูกกันตั้งแต่ผัก เคล เรื่อยไปจนถึงมะเขือเทศเชอรี่ และสตรอเบอรี่ ครับ
ทั้งหมดเป็นฟาร์มที่ไม่ใช้ดิน แต่ใช้เทคโนโลยี ไฮโดรโพนิคแทนที่ เหมือนกับที่บ้านเราเรียกกันว่าผักไฮโดรโพนิคนั่นแหละครับ
ซัสเทเนียร์ หนึ่งในกิจการฟาร์มดังกล่าว ได้รับทุนสนับสนุนจากหลายๆ แหล่งทุน รวมทั้ง เทมาเส็ก และ กร็อค เวนเจอร์ จากออสเตรเลีย เพื่อขยายกิจการทั้งในสิงคโปร์ แล้วเตรียมการแตกหน่อไปเปิดในฮ่องกงอีกด้วย
สิงคโปร์ไม่มีที่ขุดบ่อเลี้ยงปลา กลุ่มบริษัท อพอลโล อคัวคัลเจอร์ ก็สร้างตึก 8 ชั้นขึ้นมาเป็นสถานที่
เพาะเลี้ยงปลาโดยเฉพาะ ระบบเลี้ยงเป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด มูลค่ารวม 70 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
เมื่อเสร็จสมบูรณ์คาดว่าจะทำให้ผลผลิตปลาของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 110 ตันต่อปี
อีริค อึ้ง ซีอีโอของอพอลโล บอกว่า การเลี้ยงด้วยวิธีเดิมๆ อาศัยธรรมชาตินั้น ผลผลิตที่ได้ไม่แน่นอนเกินไป ปีไหนเกิดสาหร่ายระบาดขึ้นมา น้ำเน่าเสียปลาตายทั้งบ่อก็เคยเจอมาแล้ว
ต่างจากการเลี้ยงในพื้นที่ควบคุม ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้าช่วย แน่นอนกว่ากันเยอะ
นอกเหนือจากกองทุนเพื่อความมั่งคั่งของรัฐอย่างเทมาเส็ก จะป้อนเงินทุนเข้ามาสนับสนุนกิจการในโครงการเกษตรกรรมไฮเทคแนวใหม่นี้แล้ว รัฐบาลเองยังกันเงินเอาไว้อีกราว 144 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ สำหรับนำไปใช้ด้านการวิจัยเพื่อการพัฒนา หรืออาร์แอนด์ดี เพื่อเพิ่มผลิตภาพ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตโดยเฉพาะ
รัฐบาลยังเตรียมสร้างพื้นที่เกษตร-อาหาร ขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับโครงการ “โรงงานเพาะปลูกในอาคาร” และการทำ “ฟาร์มแมลง” โดยเฉพาะในราวกลางปี 2021 นี้
แต่ที่ไฮเทคที่สุดสำหรับโครงการ 30-บาย-30 ของสิงคโปร์คือ โครงการที่เพิ่งเริ่มต้นของบริษัท
ชิอ็อค มีทส์ ได้รับการสนับสนุนจากกิจการอาหารระดับโลกอย่าง มอนเด นิสซิน คอร์ป. ของฟิลิปปินส์
ผมเรียกโครงการนี้ว่า เป็นการผลิตเนื้อกุ้งโดยไม่จำเป็นต้องเลี้ยงกุ้ง แต่ใช้การเพาะเลี้ยงเซลล์เนื้อกุ้งแทน
เขาใช้วิธีนำเซลล์เนื้อกุ้งมาเพาะเลี้ยงให้เจริญเติบโตในถังบรรจุสารละลายที่เป็นอาหารของเซลล์เหล่านั้น เพาะไว้เช่นนั้น 4-6 สัปดาห์แล้วถ่ายของเหลวในถังออก
สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือเนื้อกุ้งครับ เหมือนเนื้อกุ้งสับที่พร้อมนำไปทำลูกชิ้นกุ้งได้ทันทีนั่นแหละ
ถ้าโครงการสร้างฟาร์มผลิตเนื้อกุ้งโดยไม่ต้องเลี้ยงกุ้งแห่งนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะถือเป็นฟาร์มเพาะเนื้อกุ้งในเชิงพาณิชย์เป็นแห่งแรกของโลกครับ