รื่นร่มรมเยศ : เทพรักษา : โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

มีคำพูดในวงการเกจิอาจารย์อยู่คนหนึ่ง (ผมเพิ่งได้ยิน) ว่า “องค์” สงสัยจะย่อมาจาก “องค์รักษา” หมายถึง องค์เทพหรือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่คอยรักษาคุ้มครอง

เชื่อกันว่าคนที่ทำแต่ความดีงามหรือมีดีมากกว่าชั่วจะมีเทพคอยคุ้มครองไม่ให้ประสบภยันตรายหรือคอยผ่อนหนักให้เป็นเบาอะไรทำนองนั้น

มีคนมาถามผมว่า ผมเชื่อเรื่องอย่างนี้หรือเปล่า ผมตอบว่าเชื่อ แต่ไม่เชื่ออย่างนี้

“หมายความว่าอย่างไร” ท่านผู้นั้นซัก

Advertisement

“ผมเชื่อว่าคนทำดี ความดีนั้นแหละคุ้มครองเขา อย่างโบราณว่าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ส่วนใครจะโยนให้เป็นเรื่องเทพเรื่องพรหม ผมก็ไม่ขัดข้อง” ผมว่า

“แล้วอาจารย์มีประสบการณ์เรื่องนี้ไหม” อีกคนที่นั่งสนทนาอยู่ด้วยถามขึ้น

ใครๆ ก็เรียกผมว่า “อาจารย์” ทั้งนั้น เพราะผมเป็นอาจารย์จริงๆ

Advertisement

คุณยายบางคนเห็นใครๆ เรียกผมว่าอาจารย์ นึกว่าผมเป็นอาจารย์ใบ้หวย เข้ามากระซิบถาม

“งวดหน้าเลขอะไร” ก็มี

ผมบอกเพื่อนร่วมสนทนาว่า

“จะเรียกว่าประสบการณ์ก็ไม่เชิง เพราะผมไม่เห็นเอง มีแต่คนอื่นเห็น”

แล้วผมก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวผมให้เพื่อนฟัง ดังที่นำมาขยายในที่นี้แหละครับ

ครั้งหนึ่งเมื่อสองปีที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญจากนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งให้ไปบรรยายเรื่อง “การศึกษาพระไตรปิฎกสำหรับประชาชน” อะไรทำนองนี้แหละ สถานที่บรรยายจัดที่วัดบวรนิเวศ บางลำพู

ผมบอกเด็กๆ ที่ไปเชิญว่าไม่ต้องเอารถมารับ ผมจะขับรถไปเอง ได้เวลาผมก็ขับรถไป เข้าไปจอดในบริเวณวัดที่เขาจัดไว้ให้ มีนักศึกษาชายหญิงสามสี่คนคอยรับอยู่ พอไปถึงพวกเธอก็เชิญผมเข้าไปนั่งรออีกมุมหนึ่งของห้องประชุม เพราะขณะนั้นพระเถระรูปหนึ่งกำลังบรรยายอยู่

นักศึกษาหญิงคนหนึ่งนำน้ำมาให้ผมสองแก้ว ผมกระเซ้าว่าให้กินตั้งสองแก้วเชียวเรอะ เธอบอกว่า

“อีกแก้วไว้ให้คนที่มากับอาจารย์”

ผมบอกว่าผมมาคนเดียวนี่

“อาจารย์มาสองคนมิใช่เหรอ พวกผมเห็น” นักศึกษาชายสามคนยืนยัน

“เหรอ แต่งตัวยังไง” ผมชักอยากรู้

ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวว่าเป็นผู้ชาย วัยหนุ่ม แต่งตัวชุดขาวลงมาจากรถเดินตามหลังผมมา พอขึ้นบันไดตึกก็หายไป พวกเขานึกว่าไปเข้าห้องน้ำ

ผมขนลุกด้วยความดีใจมากกว่ากลัว เพราะรถที่ผมใช้อยู่ ผมซื้อจากอาจารย์คณะเดียวกับที่ผมสอนอยู่ เป็นรถมือหนึ่ง ถอยออกจากอู่ใหม่ๆ สดๆ เธอใช้มือเดียวมาตลอดแล้วขายต่อให้ผม ผมจึงไม่คิดว่าคนชุดขาวที่เด็กๆ นักศึกษาเห็นนั้นจะเป็นภูตผีวิญญาณ ที่ตายในรถหรือตายเพราะรถคันนี้

น่าจะเป็นคุณงามความดีที่ผมได้ทำไว้ คอยปกป้องรักษาผมมากกว่า ผมนึกอย่างนั้น

อีกครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ผมนัดกินข้าวเย็นกับเพื่อนอาจารย์คนหนึ่ง นัดเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง บังเอิญวันนั้นรถติดอย่างหนัก ผมไปช้ากว่ากำหนดเกือบชั่วโมง เพื่อนนั่งรอไปกินไปจนนึกว่าผมเบี้ยวเสียแล้ว

พอเห็นผมขับรถเข้ามายังร้านอาหาร เพื่อนก็รีบลุกออกมารับถึงลานจอดรถ ผมเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะซึ่งมีอยู่สี่ห้าคน เพื่อนคนที่ว่านี้ร้องสั่งเด็กเสิร์ฟให้เอาจานมาเพิ่มอีกสองจาน ผมก็ไม่ได้คิดอะไร

สักพักหนึ่งเพื่อนคนเดิมนี่ก็ลุกออกไปข้างนอก คล้ายมองหาใครและเข้ามากินต่อ แล้วก็ลุกไปใหม่อย่างนี้ถึงสองครั้ง

ไม่มีใครถาม และแกก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ถามผมเบาๆ ว่าอาจารย์มากี่คน ผมบอกว่าผมมาคนเดียว แล้วแกก็เงียบ

ผมไม่รู้ตัว จนกระทั่งวันหนึ่งผมกับเพื่อนคนที่ว่านี้ได้ไปพบกันอีกครั้งที่พัทยา ในงานสัมมนาทางวิชาการเรื่องจัดทำคู่มือหลักสูตรพระพุทธศาสนาระดับประถมและมัธยม ยามว่างเราก็คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้สารพัด “ตั้งแต่เรื่องไม้จิ้มฟันยันเรือรบ” อย่างสำนวนภาษาว่านั่นแหละ ท้ายก็มาลงเรื่องกระแสจิต เรื่องภูตผีเทวดารักษา หรือเทพรักษาที่กำลังพูดถึงอยู่นี่แหละ

ผมได้เล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับผมที่วัดบวร ดังข้างต้นให้เพื่อนร่วมวงสนทนาฟัง

เพื่อนคนที่ว่านี้ก็หลุดปากออกมาว่า

“ผมก็เห็น วันนั้นผมเดินออกเดินเข้าห้องอาหาร ก็เพื่อจะไปตามคนที่มากับอาจารย์”

“มิน่าล่ะ อาจารย์จึงผุดลุกผุดนั่ง และตอนท้ายอาจารย์ถึงถามผมว่าผมมากับใคร” ผมต่อ

“ผมนึกว่าคนที่มากับอาจารย์เอารถไปหาที่จอดใหม่ คอยดูยังไงก็ไม่เห็นเข้ามาสักที”  เพื่อนผมบอก

ผมจึงถามว่าคนที่ว่านี้อายุอานามประมาณเท่าไหร่ เพศอะไร แต่งตัวอย่างไร

เพื่อผมบอกเหมือนกับที่นักศึกษาบอกผมเลย ผมขนลุกเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ไม่กลัว ไม่นึกว่าจะเป็น “ผีสิงรถ” เพราะคันใหม่ที่ผมใช้อยู่ก็ถอยออกจากอู่มาไม่นาน

เวลาขับรถไปไหนมาไหนคนเดียว ผมรู้สึกว่ามีเพื่อนร่วมทางด้วย อบอุ่นใจอย่างประหลาดครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image