⦁…เลือกตั้งล่วงมากว่า “3 เดือน” แต่การเมืองยังเข้ารอย ลงร่องไม่ได้ “รัฐสภา” เป็นชุดใหม่ “สภาผู้แทนราษฎร” มาจากการเลือกตั้ง แต่ “รัฐบาล” ยังเป็นชุดที่มาจาก “รัฐประหาร” ประหลาดตรงที่ “กติกาการเมือง” เปิดทางให้ “รัฐสภา” ที่มาจากระบบหนึ่ง ทำงานร่วมกัน “รัฐบาล” ที่มาจากอีกระบบหนึ่งได้ เหมือนเป็นเรื่องปกติ “ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง” ยื่นกระทู้ถามให้ “รัฐมนตรีของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร” ตอบ เป็น “ยุคสมัยที่พิลึกพิลั่น” กันได้ขนาดนั้นเลย
⦁…เริ่มมีคำถามโยนเข้ามาในเวทีของเกมการเมืองว่า เมื่อ “สภาผู้แทนราษฎร” ยื่นกระทู้ถามให้ “รัฐมนตรีที่มาจากรัฐประหาร” ตอบได้ ย่อมหมายถึง “ฝ่ายค้าน” ยื่น “ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ได้ด้วยหรือไม่ เพราะโดยหลักการของการทำหน้าที่ “ไม่ต่างกับการยื่นกระทู้” คือ “กระตุ้น” และ “ตรวจสอบ” การทำงานของรัฐบาล หากสรุปว่า “ไม่ได้” การ “ไม่ตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่” ส่งผลทำให้ “รัฐบาลจากรัฐประหาร” ซึ่งกฎหมายไม่มีอำนาจเต็ม “ไม่ใช่แค่รักษาการ” ใช้อำนาจต่อได้เต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
⦁…เมื่อ “ความเน่าเฟะ” ที่สุดของการเมือง สะท้อนมาที่ “การแย่งเก้าอี้รัฐมนตรี” โดยเน้นที่ “กระทรวงมากผลประโยชน์” ย่อมเป็น “รัฐบาล” ที่เริ่มต้นด้วย “ภาพลบ” ศักดิ์ศรีที่ย่ำแย่อยู่แล้วของ “นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง” ยิ่งย่อยยับกันไปใหญ่ ใน “ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล” ทางหนึ่งประจาน “จุดอ่อนของรัฐบาล” แต่ในเรื่องเดียวกันนั้นมองอีกมุม “รัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” มีภาพที่ดูสะอาดสะอ้านกว่า
⦁…เมื่อ “หัวขบวนใหญ่ของผู้ที่ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง” อันหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาขู่ว่า “แก้ปัญหาการเมืองด้วยวิธีเดิม” ซึ่งตีความกันว่าคือ “รัฐประหาร” แล้วสามารถสยบความขัดแย้งภายใน “พรรครัฐบาล” ให้หมอบราบคาบแก้วได้ “ราคาแห่งศักดิ์ศรี” ของ “นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง” ยิ่งตกต่ำหนักหน่วง
⦁…อย่างไรก็ตาม สภาพ “ไร้ศักดิ์ศรี” นั้นยังครอบคลุมแค่ “พรรคร่วมรัฐบาล” ไม่ใช่ความเป็นไปของ “นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง” ทั้งหมด และดูเหมือนว่าในสภาพชวนสังเวชเช่นนี้ “นักการเมืองจากพรรคฝ่ายค้าน” ถูกกดดันให้ต้องดิ้นรนเพื่อรักษาศักดิ์ศรี “คนของประชาชน” ไว้ ทำให้การแสดงออกของ “ฝ่ายค้าน” ชัดแน่น หนักแน่น จริงจัง ในท่าทีต่อต้าน “อำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน” ภาพของ “นักการเมืองจากการเลือกตั้ง” ระหว่าง “ฝ่ายรัฐบาล” กับ “ฝ่ายค้าน” ในมุมของ “ศักดิ์ศรี” และ “ความเห็นแก่ได้” จึงตัดกันชัดเจน แจ่มแจ้งในสายตาคนทั่วไป โดยไม่ต้องมีใครชี้ให้ใครเห็น
⦁…ความน่าสนใจอยู่ที่ “สภาวะเน่าเฟะ” นั้น เมื่อเป็น “ส่วนประกอบสำคัญของคณะรัฐมนตรี” แม้ “พล.อ. ประยุทธ์” และ “เครือข่าย” จะได้ประโยชน์อยู่บ้าง ในภาพที่เป็น “ปลาที่ดูดีกว่าในข้องเดียวกัน” ทว่า “ศรัทธาในภาพรวมของคณะรัฐมนตรี” ไม่ทำให้มีความหวังว่า “ประชาชน” จะมอบให้ แม้จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ “พร้อมจะมองผ่านทุกเรื่อง” ด้วยเหตุผล ไม่สามารถรับ “ทางเลือกอื่น” ได้ แต่นั่นไม่ใช่ศรัทธา เป็นเพียงการเลือกด้วย “แรงเกลียดชัง” ที่มีพลังมากกว่า
⦁…อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วคำถามที่ว่า “ประเทศชาติ” ได้กับการยอมให้จัดคณะรัฐมนตรีที่เปิดให้เห็น “จิตสำนึก” ชัดเจนว่า “แย่งชิงเก้าอี้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง” อย่างไม่มีความละอาย ว่าถึงอย่างไรเมื่อเป็น “นักการเมือง” ก็ควรจะแสดงออกด้วย “สำนึกที่เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ” ท่ามกลางสารพัดปัญหาที่หนักหน่วง และซับซ้อนขึ้นทุกทีของการพัฒนาประเทศ ซึ่งประชาชนรอการแก้ไข และวาดหวัง “รัฐบาลที่มีความรู้ความสามารถ” คำถามที่เกิดขึ้นคือ “จะทนกับคณะรัฐมนตรีแบบนี้ไปได้สักกี่น้ำ”
ชโลทร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่