นรก-สวรรค์บนดิน โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

นรก-สวรรค์ที่พรรณนาไว้ในคัมภีร์ศาสนา ส่วนมากก็เน้นไปที่นรก-สวรรค์ที่เป็นภพเป็นภูมิจริงๆ สถิตอยู่ที่ไหนไม่รู้

คนโบราณเชื่อกันว่าสวรรค์อยู่บนฟ้า นรกอยู่ใต้ดิน จึงมักมีคำพูดว่า “ไปเกิดบนสวรรค์” “ลงนรก”

นักปราชญ์หลายท่าน (ท่านไหนบ้างอย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลยเพราะไม่รู้จัก) กล่าวว่า นรก-สวรรค์มิใช่ภพ หรือสถานที่ซึ่งอยู่นอกโลกใดๆ ทั้งสิ้น หากหมายถึง “สภาพจิต” ระดับตางๆ นั่นเอง

สภาพจิตดีบริสุทธิ์สะอาดเรียกว่า “สวรรค์” ถ้าตรงกันข้ามก็เรียกว่า “นรก” ดังคำพังเพยว่า “สวรรค์ในอก นรกในใจ”

Advertisement

ตำราพระพุทธศาสนาเล่มหนึ่งได้แบ่งคนออกเป็น 5 ประเภทคือ

1.มนุสฺสเทโว คนเทวดา

2.มนุสฺสมนสโส คนมนุษย์

3.มนุสฺสนิรโย คนนรก

4.มนุสฺสเปฏโต คนเปรต

5.มนุสฺสติรจฺฉาโน คนเดียรัจฉาน

แสดงว่าเทวดา มนุษย์ สัตว์นรก สัตว์เดียรัจฉาน เปรต ไม่จำเป็นต้องไปมองหาที่ไหน หาได้ตามถนนหนทางทั่วไปนี่แหละ

เปรตหรือเดียรัจฉานบางตัวอาจนั่งชูคอบนรถเก๋งคันงาม ส่วนบางท่านหรือเทวดาบางองค์อาจโหนรถเมล์ดมขี้เต่าเพื่อนเทวดาอื่นๆ อยู่ก็ได้ ใครจะรู้

เพราะนรก-สวรรค์มิใช่ภพ มิใช่ภูมิที่จะพึงได้พึงถึงหลังจากตายแล้วเท่านั้น นรก-สวรรค์กี่ขุมกี่ชั้นก็อาจสัมผัสได้แม้ในชีวิตนี้

ท่านผู้อ่านเองก็เถอะ ลองสังเกตตัวเองดู บางครั้งท่านก็เกิดเป็นเทวดา บางครั้งก็เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก เรียกว่าวันๆ ขึ้นสวรรค์ลงนรกไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว ว่าอย่างนั้นเถอะ

ต่อไปนี้ขออธิบายเพื่อความกระจ่าง

1.คนเทวดา หมายถึงคนที่มีคุณธรรมสองประการคือ หิริ (อายชั่ว)โอตตัปปะ (กลัวบาป) หิริทำให้คนหน้าบาง ไม่กล้าทำชั่วทั้งต่อหน้าและลับหลัง โอตตัปปะทำให้คนกลัวบาปกรรม จะทำชั่วก็ไม่กล้า เพราะนึกถึงไฟนรก นึกถึงหนามงิ้วงอโง้ง สุนัขปากเหล็ก กาปากเหล็กทีไรขนลุก “บรื้อ…ไม่เอาดีกว่า” คนชนิดนี้แหละครับเรียกว่ามีคุณธรรมของเทวดา

2.คนมนุษย์ หมายถึงคนที่มีจิตใจสูง มีศีลห้าธรรมห้าครบถ้วน ศีลห้าธรรมห้าไม่จำเป็นต้องแจกแจงว่ามีอะไรครับ เราเรียนมาตั้งแต่โรงเรียนประถม-มัธยมแล้ว ใครมีครบบริบูรณ์ก็เรียกว่าเป็นคนมีจิตใจสูงหรือมนุษย์ ถ้าทำไม่ได้หรือได้กะพร่องกะแพร่งก็อย่าเที่ยวคุยว่าข้าเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์มิได้เป็นง่ายๆ ดังที่คิดดอก

พระพุทธองค์ตรัสว่า “เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยากเย็น” ที่เห็นคอหยักๆ นั้นก็ “สักแต่คน” เท่านั้น มิใช่ “มนุษย์” ในความหมายของท่านดอกครับ

ท่านที่เคยบวชพระคงจำได้ว่าขณะที่เรากล่าวขอบวชนั้น พระกรรมวาจาจารย์ (พระคู่สวด) จะถามท่านคำหนึ่งในหลายคำถามว่า “มนุสโสสิ” (เธอเป็นมนุษย์หรือเปล่า) ถ้าเราไม่ฉุกคิดก็จะสงสัยว่า เอ๊ะ! ก็เป็นมนุษย์ เห็นๆ อยู่ มิใช่หมาแมวที่ไหน ทำไมต้องถาม

นี่แหละครับคือเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่ในพิธีกรรมทางศาสนา เพียงมองเห็นคอหยักๆ สักแต่ว่าคน ก็ไม่แน่ว่าจะเป็น “มนุษย์” (ผู้มีจิตใจสูง) ขืนบวชเปรต บวชสัตว์นรก เดี๋ยวพระศาสนาจะวุ่นวาย

3.คนนรก ได้แก่คนที่ทุกข์ทรมานทางใจ หาความสงบสุขมิได้ ความร้อนเป็นสัญลักษณ์ของนรก คนที่มีความร้อนในใจแสดงว่ากำลังตกนรก เสวยผลของความชั่วที่ตัวได้กระทำไว้

กวีท่านหนึ่งบรรยายคนตกนรกทางใจไว้กินใจมาก ขอคัดลอกมาดังนี้

คฤหาสน์หลังนั้น ดังนันทวันสวรรค์สถาน

แต่เจ้าของอาคาร ทรมานร้อนเร่าเน่าในใจ

กลืนข้าวดั่งกลืนอิฐ พิษบาปปลุกแลบแสบไส้

นั่งเบนซ์คันโก้ใหญ่ ดังอยู่ในกองไฟอเวจี

นั่นไหนจะเป็นสุข นอนไหนจะไม่ทุกข์แทบดิ้น

สนิมเกาะหัวใจกิน ยินเถอะเสียงกู่ของหมู่มาร

4.คนเปรต เปรตคือสัตว์ชนิดหนึ่งที่หิวโหยทรมานเพราะบาปกรรมที่ทำไว้ ต้องรอคอยผลบุญที่คนอุทิศให้ คนเปรตก็คือคนที่ไม่รู้จักทำมาหากิน ได้แต่แบมือขอคนอื่นกิน ลูกเศรษฐีไม่เอาถ่านก็เรียกเปรต คนยากจนที่เที่ยวขอทานเขากินก็เรียกว่าเปรต คนที่มีกินมากมาย แต่ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ หิวตลอดเวลาก็เรียกว่าเปรต

5.คนเดียรัจฉาน คือคนที่มีความคิดแค่เดียรัจฉานนั่นแหละครับ ท่านเคยเลี้ยงหมาไหม หมานั้นเมื่อมันอิ่มแล้วก็นอน เมื่อมีคนหรือสัตว์อื่นเดินผ่าน มันจะเห่าขู่ แสดงว่ามันกลัว ถ้าไม่กลัว มันจะขู่ทำไม พออาหารย่อยดีแล้วก็วิ่งหยอกล้อเพื่อนฝูง หรือเที่ยวสัดเที่ยวเสพตัวเมียตามประสาหมา หรือบรรดาหมาที่หยอกล้อกันฉันมิตรนั้น ใครอยากเห็นมันกัดกันไม่ยาก ลองโยนกระดูกไปสักชิ้น มันจะกัดกันทันที

เดียรัจฉานมีความคิดแค่ “กิน เกียจคร้าน กลัว และกาม”

คนเดียรัจฉานก็มีพฤติกรรมไม่แตกต่างจากตัวอย่างข้างต้นนั่นดอกครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image