เหมือนกับการแถลง “นโยบายรัฐบาล” คือรูปธรรมแห่งชัยชนะ คือรูปธรรมแห่งความสำเร็จของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เป็นการรุกอีกก้าวในทางการเมือง
แต่หากติดตามท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ออกมาตีปลาหน้าไซในทำนองว่า การแถลงนโยบายมิใช่การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ
ก็สัมผัสได้ในความแปร่ง
ยิ่งเมื่อมีเสียงจากทางด้าน “วุฒิสภา” ระบุว่า การประชุมเพื่อแถลง “นโยบายรัฐบาล” ทำแค่ 2 วัน ก็น่าจะเพียงพอ
ไม่น่าจะเป็น 3 วัน
จากนั้นก็มีการส่งสารจากคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ส่งสัญญาณไปยังฝ่ายค้านว่าน่าจะประชุมกันเพียง 2 วัน
จึงน่าสงสัยว่า นี่เป็น “การรุก” หรือว่าเป็น “การรับ”
หากศึกษาการตระเตรียมของฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นการแยกจำแนกเป็น 1 เศรษฐกิจ 2 การเมือง 3 ความมั่นคง 4 สังคม 5 การศึกษา 6 การกระจายอำนาจ
ต้องยอมรับว่าเป็นการจัดทัพอย่างเป็น “ระบบ”
ยิ่งเมื่อลงลึกไปยังตัวบุคคลอันแยกจำแนกออกเป็นกลุ่มๆ กล่าวคือ 1 กลุ่ม 3 ป. 2 กลุ่มรัฐมนตรีที่มีคดีค้างเก่า 3 กลุ่มผู้ต้องหาคดีกบฏ 4 กลุ่มถือหุ้นสื่อ
ที่ร้อนแรงน่าจะเป็น 3 ป.
ที่ร้อนแรงและเป็นสายล่อฟ้ามากยิ่งกว่า 1 น่าจะเป็น อ.-อุตตม สาวนายน 1 น่าจะเป็น ธ.-ร.อ.ธรรมนัส
พรหมเผ่า
ไล่ตั้งแต่ “ออสเตรเลีย” กระทั่ง “กรุงไทย”
เมื่อดูรายชื่อทีมพี่เลี้ยงที่มีมวยหลักอย่าง นายจาตุรนต์ ฉายแสง ตามมาด้วยนักพูดไฟแลบระดับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายอดิศร เพียงเกษ
ก็เชื่อได้เลยว่าน่าดูชมยิ่งกว่า “ศึกวันทรงชัย”
จุดเด่นอย่างหนึ่งของการประชุมสภาในสภาพการณ์ปัจจุบัน คือ ล้วนเป็นการประชุมที่อยู่ในความสนใจของสังคม
เลิกพูดเรื่องการถ่ายทอดสดได้เลย
เพราะเท่าที่ปรากฏผ่าน “เฟซบุ๊กไลฟ์” ผ่านช่องทางของ “ยูทูบ” ก็ยิ่งกว่าการถ่ายทอดสดอยู่แล้ว เพราะฟังปุ๊บแสดงความรู้สึกได้ทันที
ใครเข้าท่า ใครไม่เข้าท่า
เท่านั้นยังไม่พอ หลังการอภิปรายในที่ประชุมยังมีการจัดทำเป็น “คลิป” พิเศษ ตัดการก่อกวนอื่นๆ รอบข้างออก
เอาแต่เนื้อล้วนๆ ฟังกันเต็มๆ 2 รูหู
ยิ่งการประชุมรัฐสภาเพื่อแถลงนโยบายรัฐบาล ยิ่งเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องออกโรงด้วยตนเอง
แฟนานุแฟนย่อมรอคอยเป็นธรรมดา
เหมือนกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นฝ่ายรุกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 แต่เมื่อผ่านเดือนมีนาคม 2562
สถานการณ์ “รุก” เริ่มไม่แน่นอน
ยิ่งเมื่อต้องปิดฉาก “คสช.” ยิ่งเมื่อไม่สามารถงัดเอา “มาตรา 44” มาเป็นอาวุธ ความคึกคักกลับสัมผัสได้จาก 7 พรรคฝ่ายค้านมากกว่า
ใครรุก ใครตั้งรับ มีความเด่นชัดมากขึ้น