การแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยคณะรัฐมนตรีที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยุติเมื่อ 03.33 น. เช้ามืดวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา รวมใช้เวลา 34 ชั่วโมง นับจาก 09.30 น. ของวันที่ 25 ก.ค. การแถลงและอภิปรายมีเนื้อหาสาระพอสมควร ด้วยการอภิปรายซักถามจากฝ่ายค้าน และการลุกขึ้นชี้แจงของบรรดารัฐมนตรี แต่ต้องยอมรับว่า เสียเวลาไปมากกับการประท้วง การโต้เถียง ชิงไหวชิงพริบกันในที่ประชุม ประเด็นที่จับตากันมาก ได้แก่ บทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ จากนายกรัฐมนตรีที่มาจากรัฐประหาร มาเป็นนายกรัฐมนตรีในระบบรัฐสภา โดยไม่มีอำนาจพิเศษคือมาตรา 44 ในมือ
พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับเองในตอนต้นการประชุมว่าเป็นมือใหม่ แต่ก็ได้พยายามมีส่วนร่วมในการประชุม และนั่งรับฟังการอภิปรายจนยุติ ระหว่างนั้นได้ลุกขึ้นชี้แจงและตอบโต้การอภิปรายของฝ่ายค้าน แต่หลายครั้งได้กระทำผิดข้อบังคับการประชุม ด้วยการชี้หน้าสมาชิกรัฐสภา ใช้น้ำเสียงดังเหมือนมีอารมณ์ไม่พอใจ การพูดสื่อสารโดยตรงกับ ส.ส.หรือ ส.ว.แทนที่จะอภิปรายผ่านประธานที่ประชุม ตอนหนึ่งยังได้ปะทะคารมกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย รวมถึงการลุกออกจากที่ประชุมขณะ ส.ส.ฝ่ายค้าน คือ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม กำลังอภิปรายในเรื่องที่นายกรัฐมนตรี ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
ประเทศไทยเว้นวรรคจากการมีสภาผู้แทนฯมาถึง 5 ปี และยังมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีกฎหมายและ กฎกติกาใหม่ การเลือกตั้ง 24 มี.ค.ที่ผ่านมา มี ส.ส.หน้าใหม่จำนวนมาก ที่ไม่เคยเข้าร่วมการประชุมสภามาก่อน ไม่คุ้นเคยกับกฎกติกามารยาทในการประชุม ขณะที่นายกรัฐมนตรีเองก็เป็นมือใหม่ในระบบรัฐสภา แต่ก็ให้สัมภาษณ์ว่า จะพยายามปรับตัวให้เข้ากับระบบรัฐสภา ปรากฏการณ์ไม่เหมาะสมหลายอย่างที่เกิดขึ้นในการแถลงนโยบาย ทุกฝ่ายควรไปทบทวนและปรับปรุง เพื่อให้สภาผู้แทนฯรับหน้าที่สำคัญในการร่วมขับเคลื่อนประเทศอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ด้วยการออกกฎหมาย ตรวจสอบฝ่ายบริหารและเป็นปากเป็นเสียง เป็นเวทีให้กับความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งประสิทธิภาพจะเกิดได้ ทุกฝ่ายต้องเคารพกฎกติกาอย่างเคร่งครัด แสดงความคิดความเห็นที่เป็นเหตุเป็นผล ด้วยความสุภาพ และเคารพความเห็นของผู้อื่น
