จิตวิวัฒน์ : เห็นทางในทุกข์ ค้นหาความหมายทางจิตวิญญาณของเส้นทางชีวิต : โดย ณัฐฬส วังวิญญู

เราเคยรู้สึกไหมว่าตัวเราเกิดมาเป็นบางสิ่งบางอย่างบนโลก พร้อมกับมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ภายใต้เงื่อนไขปัจจัยต่างๆ ที่ถูกจัดวางและส่งอิทธิพลต่อชีวิต ถ้าเรามีชีวิตเหมือนกับตำนานที่มีที่ไปที่มาของตัวเอง มีบางบทเรียนที่เราต้องผ่านในแต่ละช่วงชีวิตรอคอยอยู่ โดยเฉพาะบทเรียนที่เรารู้สึกว่าผ่านได้ยาก เหมือนอุปสรรคที่ถั่งโถมท่วมทับเราราวกับจะให้ชีวิตตกต่ำย่ำแย่ที่สุด ในวิกฤตชีวิตที่เรากำลังเผชิญอยู่หรือผ่านพ้นมาแล้ว มีบทเรียนอะไรที่หัวใจเราน่าจะได้เรียนรู้และถือเป็นโอกาสแปรเปลี่ยนชีวิต ราวกับการค้นพบแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด เพราะสิ่งเหล่านี้คงได้ไม่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญและไร้ความหมาย แต่มาจากความจงใจบางอย่างของจักรวาลที่มองเห็นศักยภาพในตัวเรา จึงส่งโจทย์ที่เหมาะเจาะมาจนหงายหลังตั้งตัวไม่ทัน

เวลาเรารักหรือต้องการบรรลุเป้าหมายอย่างจริงใจ พร้อมทุ่มเทสรรพกำลังและสติปัญญาให้กับสิ่งนั้น เรามักจะพบบททดสอบที่กั้นขวางไม่ให้ไปได้ง่ายๆ บางครั้งถึงขนาดต้องเอาชีวิตเข้าแลก เผชิญหน้ากับความเปราะบาง ความหวั่นไหว ความกลัว และความล่มสลายภายใน เพราะวิธีการเดิมๆ ที่เราเคยใช้ได้ผล หรือความเป็นตัวเราและทัศนคติแบบเดิมๆ อาจเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่ขวางกั้นเราไม่ให้ก้าวเดินต่อได้ ทำให้เรามาถึงทางเลือกของชีวิตว่าจะล้มเลิกความตั้งใจ ยอมแพ้ต่ออุปสรรคตรงหน้า หรือจะยอมศิโรราบให้แก่การตายลงของสิ่งเก่า ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังหรือวิธีการแบบเดิมๆ และยอมรับการถือกำเนิดใหม่ในตัวเราที่ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ต้องเรียนรู้ที่จะลองเป็นและยอมรับความเป็นไปได้ใหม่ราวกับเลือกไม่ได้

Myth คือเรื่องราวและเส้นทางที่เลือกเราและรอคอยให้เราเดินข้ามผ่านจนค้นพบศักยภาพแท้จริงในตัวเองที่มากกว่าเราจะคาดคิดได้ ไม่ว่าเราจะพยายามเดินอ้อม เดินหนี เดินจาก เส้นทางหรือโจทย์ทางจิตวิญญาณของเราจะยังคงรอคอยอยู่ ราวกับเป็นเพื่อนที่ไม่เคยทิ้งเราให้มีชีวิตอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยหรือคุ้นชินเดิมๆ เพราะเส้นทางการเติบโตทางจิตวิญญาณไม่สามารถผ่านได้ด้วยความรู้ใดๆ นอกจากเผชิญหน้ากับประสบการณ์จริงที่จะต้องผ่านจุดหวั่นไหว เปราะบางและความล่มสลายของหัวใจดวงเก่า ก่อนที่หัวใจดวงใหม่จะเกิดขึ้น

หากเราสามารถยอมรับความอ่อนแอ ความสิ้นหวัง ความไม่สมบูรณ์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างจริงใจ เราจะเข้าถึงความจริงแท้ของความเป็นมนุษย์และค้นพบเส้นทางใหม่ที่จะนำพาไปพบกับอิสรภาพ มิตรภาพและความสร้างสรรค์ที่เราอาจไม่พบมาก่อนในตัวเอง

Advertisement

งาน “ตำนานศักดิ์สิทธิ์ของหัวใจที่แตกร้าว” ที่สถาบันวัชรสิทธาจัดขึ้นเมื่อวันที่ 19-21 ก.ค.2562 ชวนผู้คนสำรวจเรื่องราวความเร้นลับของชีวิต เงื่อนไขและปัจจัยที่ทำให้คนคนหนึ่งต้องเลือกหรือดำเนินชีวิตในห้วงเวลาหนึ่งๆ และมีจุดพลิกผันหันเห อะไรคือแรงผลัก แรงจูง แรงดึงดูดของชีวิต แล้วชีวิตมีเป้าหมายในตัวเองไหม เราจะสามารถล่วงรู้หรือกำหนดได้มากน้อยเพียงใด

ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า บนเส้นทางการแสวงหาและเข้าถึงความจริงแท้ของตัวเอง บททดสอบของจริงจะนำความทุกข์และความยากลำบากเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีทางลัดที่สะดวกสบาย เพราะสิ่งที่จำเป็นคือการ “ล่มสลายหรือความตายลง” ของตัวตน วิธีการหรือมุมมองความเชื่อเดิมเกี่ยวกับตัวเองและโลกที่จำกัดการขยายออกของชีวิต ชีวิตส่วนใหญ่อาจไม่ได้มีอุดมคติหรือเป้าหมายที่จะต้องเติบโตทางจิตวิญญาณ แต่อาจมีเป้าหมายอื่นๆ ที่เป็นรูปธรรมมากกว่าไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายทางโลกหรือทางธรรม ในขณะเดียวกันโลกทางจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งอาจนำพาเราไปเผชิญหน้ากับบททดสอบทางจิตวิญญาณโดยไม่เคยรู้มาก่อน

เราจะสามารถถอดรหัสเส้นทางชีวิตในแต่ละช่วงของเราได้อย่างไร ว่าทำไมชีวิตของเราต้องเติบโตมาในเงื่อนไขแวดล้อมนั้นๆ ต้องพบเหตุการณ์หรือผู้คนแบบนั้นๆ เหตุการณ์เหล่านี้ตระเตรียมเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไร ไปสู่อะไร และเพื่ออะไร มีเป้าประสงค์ทางจิตวิญญาณหรือความหมายพิเศษไหม หากรู้ เราจะยอมรับทุกข์ได้อย่างรู้ความหมายและวางใจ เรียนรู้ และค้นหามิตรหรือครูที่จะช่วยให้เราพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองตามที่จักรวาลปรารถนา

ชีวิตจะตามหาและหาทางให้เราค้นพบสิ่งใหม่ๆ และขยายศักยภาพของเรา แม้อาจไม่ราบเรียบหรือสะดวกสบายอย่างที่เราคุ้นเคย จนบางทีเรามองว่ามาผิดทาง เพราะอาจเต็มไปด้วยอุปสรรคที่เกินขีดความสามารถเดิมที่เรามีมา และท้าทายเราให้ขับเอาศักยภาพภายในออกมามากกว่าที่เราเคยทำ หรือเผชิญหน้ากับความรู้สึกล้มเหลวและรวดร้าวครั้งแล้วครั้งเล่า จนสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ถ้าดูให้ดี สิ่งที่ขวางเราอยู่อาจเป็นคำตอบหรือเส้นทางที่นำเราไปสู่ตัวตนอย่างใหม่ก็ได้ (What’s in the way is the way!)

ใน วันแรก เราจึงมาเล่าเรื่องเส้นทางชีวิตไปพร้อมกับถอดรหัสที่มีคุณค่าหรือความหมายทางจิตวิญญาณของแต่คนผ่านการบอกเล่าแบบบุคคลที่สาม ที่ทำให้แยกตัวเองออกมาจากความรู้สึกส่วนตัวในขณะนั้น เหมือนการเล่านิทาน บางคนจะได้มุมมองหรือเห็นบางอย่างใหม่ รวมทั้งเห็นความหมายในเรื่องราวเดิม

วันที่สอง เราได้เดินข้ามเส้น มีโจทย์หลายข้อที่ทำให้หลายคนได้เผชิญกับความจริงของตัวเอง หลายคนสั่นไหวแต่ก็กล้าหาญ ก้าวเท้าอย่างยอมรับและมั่นคง เราให้เกียรติและยอมรับเส้นทางชีวิตที่หลากหลายของแต่ละคน ยิ่งได้จับกลุ่มกับคนที่โดนใจยิ่งได้ค้นพบความเข้มแข็งที่ถูกหล่อหลอมมาจากอุปสรรคชีวิต สิ่งที่เราคิดว่าเป็น “บาดแผล” (Wound) หรือปมชีวิต อาจเป็น “ครรภ์” (Womb) ที่ให้กำเนิดศักยภาพบางอย่างก็เป็นได้ การได้เดินข้ามเส้นเพื่อยืนยันและยอมรับนอกจากทำกับตัวเองแล้ว พอได้ข้ามเส้นแล้วหันหน้ากลับมาพบกับเพื่อนที่ยืนอีกฝั่งหนึ่งของห้องซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนของสังคม ทำให้เราได้ “เผชิญหน้า” กับ “สังคม” หรือหากเป็นสัญลักษณ์ในตำนาน คือ “มังกร” ที่คอยควบคุมพฤติกรรมและศักยภาพของเราด้วยกลไกแห่งความกลัว

หลังจากนั้นเราได้เรียนรู้เรื่องต้นแบบทางจิต (Archetypes) หรือบทบาทต่างๆ ที่พบได้ในทุกสังคมไหน เช่น พ่อ แม่ เจ้าชาย โจร นักบวช เด็กน้อย ชนกลุ่มน้อย นักจัดการ โสเภณี นักรบ เป็นต้น ซึ่งแต่ละบทบาทมีหน้าที่ของตัวเองทั้งด้านบวกและด้านลบ บางบทบาทที่เราอาจตัดสินชัดเจน เช่น โสเภณี ก็เป็นตัวแทนของบทบาทที่ทำงานเพื่อดูแลความอยู่รอด ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานของชีวิต

เรายังได้เห็นกฎเกณฑ์หรือกรอบคิดของสังคมที่ชี้คุณค่าไปในทิศทางหนึ่ง เช่น ความดีทั้งหลาย จนเราไม่กล้าจะเดินไปอีกด้านหนึ่งของค่านิยม ถ้าเราถูกสอนให้รักนวลสงวนตัว เราอาจจะไม่อยากนุ่งสั้นห่มน้อย แล้วแอบตัดสินคนที่มีพฤติกรรมแบบนั้น มองไม่เห็น “แก่นสาร” ในการกระทำนั้น ซึ่งอาจจะหมายถึงการมีอิสรภาพในร่างกายของตัวเอง การไม่กดขี่พลังชีวิตที่แสดงออกผ่านเนื้อหนัง เป็นต้น

โดยสรุปแล้ว งานชิ้นใหญ่ที่ต้องทำบนเส้นทางจิตวิญญาณ คือการปลดแอกตัวเองออกจากภาวะพึ่งพิงทางอารมณ์ที่เรามีกับสังคมหรือครอบครัวที่ฝังลึกและแน่นหนา แต่ไม่ใช่เพื่อจะกลายเป็นจิ๊กโก๋ที่ทำตามอำเภอใจ แต่เป็นไปเพื่อการค้นพบธาตุแท้หรือตัวตนที่แท้จริงของเราเองที่ไม่ขึ้นกับกฎเกณฑ์หรือระบบคุณค่าใดๆ แล้วหยิบยื่นความเป็นตัวของตัวเองให้กลับไปยังสังคม

วันสุดท้าย เราเรียนเรื่องฤดูกาลที่เปลี่ยนผ่านของกงล้อชีวิต (Teaching of the Medicine Wheel) ทำให้เห็นช่วงชีวิตช่วงต่างๆ ที่มีโจทย์ของตัวเอง เช่น ชีวิตวัยเด็กจะเป็นไปตามสัญชาตญาณมากกว่าเหตุผลหรืออารมณ์ ความต้องการทางกาย วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการเข้าใจและแสวงหาคุณค่าในตัวเอง ไม่แปลกที่ติดเพื่อน ติดเฟซ ผละตัวเองออกจากเหย้าเรือนหรือพ่อแม่

ผู้ใหญ่เป็นวัยของการสร้างฐานะ ครอบครัว สังคม ชาติ การใช้เหตุผลแบบไม่ต้องสนใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง วัยชราเป็นวัยที่ละจากการกระทำมาทบทวนใคร่ครวญ ถอดความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ เอื้อประโยชน์ให้กับคนอื่น เชื่อมประสานกับสิ่งต่างๆ เป็นต้น ช่วงชีวิตเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นกับอายุของเรา แต่ขึ้นกับความปรารถนาภายในของชีวิตที่พาให้เราต้องค้นหาว่าตัวเองอยู่ในภาวะไหนและต้องการจะไปต่อแบบไหน หลายๆ คนที่ได้เห็นถึงกับรู้สึกโล่งใจและชัดเจนกับตัวเองมากขึ้นว่า สิ่งที่ขาดหายไปในช่วงที่ผ่านมาคืออะไร

เช่น บางคนไม่มีชีวิตวัยเด็กหรือวัยรุ่นเลย เพราะเงื่อนไขชีวิตที่ลำบากทำให้ต้องกระโดดข้ามไปสู่วัยของการทำงานมาอย่างยาวนาน แนวคิดดังกล่าวทำให้เราสามารถเข้าใจภาวะว้าวุ่นหรือแปรปรวนภายในของตัวเองหรือคนอื่นมากขึ้น ว่าความต้องการการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ผิดปกติในตัวเอง แต่เป็นเพราะไม่ได้รับบางอย่างที่ควรจะได้รับในเวลานั้นๆ

เรามาจบลงที่วงจรการเดินทางของฮีโร่ ที่ช่วยให้เห็นว่าวิกฤตหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นกับเราอาจจะเป็นเสียงเรียก (Calling) จากจิตวิญญาณ ให้เรากระทำการบางอย่างที่อาจต้องใช้พละกำลังมากมายและต้องเผชิญกับโจทย์หรือปีศาจที่มีฤทธิ์มาก จนวิธีการเดิมๆ ที่เราทำหรือเป็นมาใช้ไม่ได้ ต้องยอมตายลงหรือศิโรราบให้กับการปะทะนี้ แต่แล้วจะมีบางอย่างที่ให้ชีวิตใหม่กับเราก่อกำเนิดขึ้น เพื่อจะฝึกฝนจนคุ้นเคย คล่องแคล่วหรือชำนาญจนสามารถกลับไปเผชิญหน้ากับมังกรตัวเดิมได้อย่างมั่นคงและมีชัย แบบแผนชีวิตที่ต้องเผชิญทุกข์เหล่านี้หากนำมาเป็นกรอบโครงในการกลับมาดูชีวิตของเราเอง อาจช่วยให้เราเห็น “เส้นทาง” และ “ความหมาย” ของมันมากขึ้น จนสามารถอยู่กับความทุกข์ได้อย่างวางใจและมีปัญญา

ต้องบอกว่าเป็นการเดินทางในดินแดนของความไม่รู้จริงๆ เหมือนกับเดินในความมืดด้วยเทียนไขหนึ่งดวงในมือ โดยอาศัยพลังงานและความสนใจ จริงใจและการค้นหาที่จริงแท้ของผู้เรียนนั่นเอง

ณัฐฬส วังวิญญู
สถาบันขวัญแผ่นดิน
www.thaissf.org, twitter.com/jitwiwat
สนับสนุนโดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image