เหมือนกับการปรับทัพครั้งใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐด้วยการชู พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้าไปอยู่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์
เป้าหมายจะอยู่ที่ 1 พรรคเพื่อไทย 1 พรรคอนาคตใหม่
อาจเป็นเช่นนั้น เพราะว่าพรรคเพื่อไทยมีจำนวน ส.ส. 136 มากกว่าพรรคพลังประชารัฐ ขณะเดียวกัน พรรคอนาคตใหม่มีจำนวน ส.ส. 81 อาจยังน้อยกว่า
แต่ก็มีความจำเป็นต้องเอาชนะพรรคเพื่อไทย และกำราบพรรคอนาคตใหม่
กระนั้น โดยธรรมชาติทางการเมืองมิได้มีแต่พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ เท่านั้นที่จะเป็นคู่ต่อกรกับพรรคพลังประชารัฐ
ตรงกันข้าม ภายในพรรคร่วมรัฐบาลก็มี
นั่นก็คือ 53 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นั่นก็คือ 51 ส.ส.พรรคภูมิใจไทย นั่นก็คือ 10 ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา
ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งมากด้วยความแหลมคม
ถามว่าเหตุใดพรรคประชาธิปัตย์จึงพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอย่างเป็นการทั่วไปเมื่อเดือนมีนาคม 2562 อย่างชนิดหมดรูป
เป็นการพ่ายต่อพรรคเพื่อไทย เป็นการพ่ายต่อพรรคอนาคตใหม่ อย่างนั้นหรือ
หากพรรคประชาธิปัตย์เปิดหัวใจให้กว้างก็จะประจักษ์ว่า ความพ่ายแพ้ใน กทม.มาจากพรรคใด ความพ่ายแพ้ในภาคใต้มาจากพรรคใด
เป็นความพ่ายแพ้ต่อพรรคพลังประชารัฐ
เป็นความพ่ายแพ้เพราะความแตกแยกในพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนหนึ่งไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ส่วนหนึ่งไปจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย
พรรคพลังประชารัฐอาศัยจุดอ่อนนี้ทะลุทะลวงเข้าไป
ประเด็นอันแหลมคมอย่างยิ่งก็คือ พรรคพลังประชารัฐสนองตอบต่อความต้องการของมวลมหาประชาชนที่เติบใหญ่จากรัฐประหาร 2549 และรัฐประหาร 2557 ได้มากกว่า
จึงเทให้พรรคพลังประชารัฐ ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์
หากดูจากฐานคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนไทย
จะเห็นว่าฐานเดิมของพรรคไทยรักไทยยังแข็งแกร่ง
จะเห็นว่าบางส่วนที่เพิ่มเข้ามากลับเป็นฐานใหม่อันเป็นการสะสมคะแนนและความนิยมผ่านพรรคอนาคตใหม่
เด่นชัดว่า การแยกขั้ว แบ่งข้าง ยังดำรงอยู่
เด่นชัดว่า การแปรเปลี่ยนที่เกิดขึ้นด้านหลักสะท้อนการรุกคืบไปขยายเครือข่ายผ่านคนรุ่นใหม่โดยพรรคอนาคตใหม่
ความแข็งแกร่งของพรรคพลังประชารัฐด้านหนึ่งอาจสะเทือนพรรคเพื่อไทย
แต่แนวโน้มและความเป็นไปได้ที่เด่นชัดมากยิ่งขึ้นจะกลายเป็นการแย่งยื้อและพังทลายฐานเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนามากกว่า
พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา จึงต้องสังวรณ์
ไม่ว่าเจตนาของ คสช.จะต้องการสร้างสภาวะกระจัดกระจายในทางการเมืองเพื่อมิให้การเมืองดำเนินไปอย่างที่เกิดในยุครัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
แต่ทิศทางทางการเมืองจะเริ่ม “ขมวดปม”
เป็นการสร้างปมระหว่าง พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ กับ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา
ในที่สุด การเมืองก็จะยังเป็น 2 ขั้วเหมือนเดิม