ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถหนีธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตยได้พ้น
กรณีข้อร้องเรียนเรื่องการถวายสัตย์ไม่ครบตามรัฐธรรมนูญกำหนด แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะอ้างภารกิจ ไม่ยอมไปตอบกระทู้ในสภาผู้แทนราษฎร
แต่ในที่สุดกระแสความต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ไปสภาก็ดังขึ้น ดังขึ้น และดังขึ้น
จากเสียงเชิญชวนของพรรคฝ่ายค้าน ที่มี นายปิยบุตร แสงกนกกุล แห่งพรรคอนาคตใหม่ตระเตรียมการกระทู้ถาม
ขยายผลกลายเป็นเสียงของพรรคฝ่ายค้านที่ต้องการให้นายกฯมาตอบ
ยื่นเป็นญัตติของเปิดอภิปรายทั่วไปซักถามโดยไม่ลงมติ ตามที่รัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้
บัดนี้ญัตติดังกล่าวถึงมือ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และทางสภาผู้แทนราษฎรได้ส่งเรื่องให้ทำเนียบรัฐบาลไปแล้ว
รอวันเวลาที่จะตอบรับนัด และตอบคำซักถามจากพรรคฝ่ายค้าน
และขยายกลายเป็นข้อเรียกร้องเชิงแนะนำจากนายชวน ที่ส่งสัญญาณไปถึง พล.อ.ประยุทธ์
ขออย่าได้กลัว นี่คือวิถีประชาธิปไตย
ประเด็นข้อร้องเรียนเรื่องถวายสัตย์นี้ เริ่มมีความเคลื่อนไหวที่ปรากฏให้เห็นว่าค่อยๆ คลี่คลายเป็นระยะๆ
เมื่อมีการร้องศาลรัฐธรรมนูญตีความประเด็นดังกล่าว ล่าสุดผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติที่จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นดังกล่าว
ผู้ตรวจการแผ่นดินมีความเห็นที่จะยื่นคำร้องของ นายภานุพงศ์ ชูรักษ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง
ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อ มาตรา 5 วรรคหนึ่ง ที่ระบุว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้” หรือไม่?
ทุกอย่างต้องรอคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นข้อร้องเรียนเรื่องถวายสัตย์นี้ ยังต้องผ่านกลไกของฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎร
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงยากที่จะหลีกเลี่ยง เพราะผิดวิถีประชาธิปไตย
แต่ทั้งนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เริ่มแย้มวิธีที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อึดอัดใจในการตอบอภิปรายในประเด็นดังกล่าว
ประเด็นการถวายสัตย์ สามารถขอเป็นการประชุมลับได้ ถ้าเห็นควรว่าไม่สมควรเปิดเผยออกไป
การประชุมลับเป็นอีกทางออกของ พล.อ.ประยุทธ์
จากปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ก้าวสู่วิถีประชาธิปไตย พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เบ็ดเสร็จเหมือนเก่า
รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 แม้จะ “ดีไซน์มาเพื่อเรา” แต่ก็ไม่เด็ดขาดเท่ากับ ม.44 เดิม
ในทางคดีต้องไปจบที่ศาล ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหารก็มีพลังมากขึ้น
ยิ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันเผชิญหน้ากับปัญหา “ปริ่มน้ำ” ยิ่งค่อยๆ กัดกร่อนความน่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ
ในทางการเมือง อาการ “ปริ่มน้ำ” ทำให้เอกภาพของรัฐบาลมีน้อยลง
การโหวตข้อบังคับสภาผู้แทนราษฎรที่กรรมาธิการเสียงข้างมากแพ้กรรมาธิการเสียงข้างน้อยนั้น ตอกย้ำปัญหานี้
ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้วิปรัฐบาลต้องเพิ่มจำนวน และกำหนดให้วิป 1 คนดูแล ส.ส.รัฐบาล 5 คน
พรรคพลังประชารัฐต้องเชิญ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อช่วยบรรดาแกนนำพรรคดูแลสมาชิก
ถึงขนาดนี้ แม้ พล.อ.ประวิตรจะเสนอต่อที่ประชุมให้รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลาออกจาก ส.ส. เพื่อเปิดทางให้คนอื่นมาเป็นแทน
ช่วยบรรเทาปัญหาเสียงฝ่ายรัฐบาลไม่เพียงพอ
แต่สุดท้ายรัฐมนตรี 5 คนในเป้าหมายก็พร้อมใจกันปฏิเสธ
สะท้อนว่า เอกภาพภายใน “พลังประชารัฐ” มีปัญหา
ปัญหาเอกภาพเช่นนี้ยังเกิดขึ้นกับการบริหารงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันด้วย
กรณีการประกาศ “แก้ไขปัญหาปากท้อง” เป็นการเร่งด่วนนั้น บัดนี้เกิดปัญหาการดำเนินการทางเศรษฐกิจคล้ายกับ “ต่างคนต่างทำ”
เมื่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วง คสช.ยึดอำนาจ ฝ่ายเศรษฐกิจมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เป็นหัวหน้าทีม
เป้าหมายคือ ไทยแลนด์ 4.0 มีโครงการต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจที่ออกมารองรับ
การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจยังมองเห็นเป้าหมาย
แต่สำหรับรัฐบาลปัจจุบัน อาจเป็นเพราะเป็นรัฐบาลผสม 19 พรรรค มีรองนายกฯที่ดูแลเศรษฐกิจจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย
พรรคการเมืองแต่ละพรรคต่างมีเป้าหมายและวิธีการตามที่ได้หาเสียงไว้ ดังนั้น เมื่อได้เป็นรัฐบาลแต่ละพรรคจึงขับเคลื่อนสิ่งที่ตัวเองเคยสัญญาไว้กับประชาชน
กลายเป็นปัญหาเรื่องเอกภาพการขับเคลื่อนนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล
แม้รัฐบาลจะตั้ง ครม.เศรษฐกิจ มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้าทีม และหลังจากที่ประชุมนัดแรกก็ได้อนุมัติวงเงิน 3.1 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี
แต่หลังจาก ครม.เศรษฐกิจอนุมัติวงเงิน กระแสตอบรับกลับไม่คึกคักเท่ากับวงเงิน 3 แสนล้านบาท
กระทั่งกลายเป็นข้อข้องใจ
ปลายปี 2562 เศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นจริงหรือ
ปัญหาเรื่องเอกภาพที่ขยายตัวกลายเป็นปัญหาการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจ หากไม่รีบแก้ไข ปัญหาต่างๆ จะย้อนกลับไปเป็นปัญหาของ พล.อ.ประยุทธ์
แม้รัฐบาลชุดปัจจุบันจะได้เปรียบในเชิงกฎระเบียบ กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นกฎหมายที่ดีไซน์มาให้
แต่รัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับศรัทธาที่ประชาชนมีให้
เมื่อใดที่ปัญหาปากท้องของประชาชนไม่ได้รับการแก้ไข เมื่อใดที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจนสุดทานทน
แม้รัฐบาลจะมีกฎระเบียบต่างๆ ที่เอื้อหนุน แต่ในที่สุดก็จะมีกระแสผลักดันให้แก้กฎระเบียบเหล่านั้น
หนทางที่ดีที่สุดคือการเร่งรีบพิจารณาตัวเอง แล้วปรับปรุงแก้ไข
และหากยังดื้อดึงฝืนกระแส
นอกจาก “กฎ” ที่ต้องถูกแก้แล้ว “คน” ก็อาจต้องถูกเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน