ความวัว มิทันหาย ความควาย เข้าแทรก ผลสะเทือนกรณีตำรวจ

หนึ่งในหัวข้อที่มิตรรักแฟนประจำของ คสช. ตะเบ็งเสียงร้องกันคอแหบคอแห้งให้ปฏิรูปอย่างถอนรากถอนโคนมากที่สุดด้านหนึ่ง

ก็คือการปฏิรูปตำรวจ

อันเป็นประเด็นที่ประดาพ่อยกแม่ยกทั้งหลายของคณะรัฐประหารเห็นว่า นอกจากจะไม่มีความคืบหน้าแล้ว

ในหลายประเด็นยังถอยหลังลงคลองอย่างเห็นได้ชัด

Advertisement

หนึ่งในตัวอย่างที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด ก็คือการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี

ที่ผ่านไปอย่างทุลักทุเลยิ่ง ถึงขั้นต้องประกาศใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญช่วคราวเข้ามา “ทุบโต๊ะ”

มอบอำนาจให้กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจในการจัดการแต่งตั้งโยกย้ายแต่เพียงผู้เดียว

Advertisement

กระนั้นปัญหาก็ยังไม่จบ

 

จากบัญชีโยกย้ายแต่งตั้งกว่า 8,000 ตำแหน่งในระดับรองผู้บังคับการลงมาถึงสารวัตรที่ผ่านไปหมาดๆ

ในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 500 รายชื่อที่ต้องดำเนินการปรับแก้โดยเร่งด่วน

7 มิถุนายน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ดูแลงานตำรวจ กล่าวถึงการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจประจำปี 2558 ว่า

เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ความผิดพลาดของการโยกย้ายทั้ง 500 ตำแหน่งมีการแก้ไขหมดแล้ว

จากนี้ไปจะเป็นการเดินหน้าปฏิรูปตำรวจให้เห็นเป็นรูปธรรมภายใน 1 ปี 6 เดือน

ซึ่งการใช้คำสั่งมาตรา 44 ทำให้สามารถแต่งตั้งโยกย้ายข้ามหน่วยงานได้ เป็นการเปิดโอกาสให้มีตำแหน่งเพิ่มมากขึ้น ป้องกันการวิ่งเต้น

ส่วนการย้ายตำรวจโรงพักดีเด่นนครสวรรค์โมเดล เป็นการปรับย้ายเพื่อการปฏิรูป

มากกว่าถูกมองว่าเป็นการย้ายอย่างไม่เป็นธรรม

 

แต่ปฏิรูปตำรวจยังไม่ทันไปถึงไหน ก็เกิดกรณี “งามหน้า”แทรกซ้อนขึ้นมา

เมื่อเจ้าหน้าที่ของกรมการปกครองบุกเข้าตรวจค้นจับกุมสถาบริการอาบอบนวดนาตารี ในกลางกรุงเทพมหานคร

และพบ“บัญชี”การจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานต่างๆ

ซึ่งส่วนใหญ่ในนั้นก็คือตำรวจ

ในบัญชีรายชื่อที่ว่ามีทั้งรายการจ่ายเงินให้กับทนาย… พี่… จ่า… ดาบ… รอง…

ไปจนกระทั่งถึงชื่อที่น่าจะเป็นหน่วยงานอย่างท่องเที่ยว สันติบาล ห้วยขวาง ตม. กทม.

ตามบัญชีระบุตัวเลขว่ามีการเงินตั้งแต่ 6,000 บาทไปจนกระทั่งถึง 76,000 บาท รวมเฉพาะในหนึ่งหน้าบัญชีคิดเป็นตัวเงินรวมเดือนละเกือบ 350,000 บาท

เทียบกับรายได้เดือนละ 19 ล้านบาทของอาบอบนวด

ปัจจุบันบัญชีดังกล่าวอยู่ในการดูแลและสอบสวนของเจ้าหน้าที่กรมการปกครองผู้เข้าจับกุม

ขณะที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทน ผบช.น. กล่าวว่า มอบหมายให้ พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น.1 ตรวจสอบของกลางกรณีมีข่าวเรื่องพบบัญชีส่วย เพื่อหาข้อสรุปโดยเร็ว

แต่ตนยังไม่เห็นบัญชีดังกล่าว จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าคือบัญชีอะไร

 

ถึงในเบื้องต้นจะมีการย้ายผู้กำกับการ รองผู้กำกับการ และสารวัตรที่เกี่ยวข้องใน สน.ห้วยขวาง เจ้าของพื้นที่รวม 4 คนเข้าไปช่วยราชการชั่วคราว

แต่ก็เป็นข้อหาปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ปล่อยปละละเลยให้มีการค้าประเวณีของเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี

ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในเรื่อง “ส่วย”

ประเด็นที่เป็นทั้งแผลยาแดง-ซึ่งคนภายนอกเห็นได้ชัดเจน และมะเร็ง-ที่กัดกินอวัยวะภายในขององค์กรตำรวจเอง

และเป็นหัวข้อที่ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปมากที่สุด

ยังไม่มีปฏิกิริยาจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังไม่มีปฏิกิริยาจากรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงที่ดูแลงานด้านตำรวจ

และยังไม่มีปฏิกิริยาจากนายกรัฐมนตรี ที่ปกติจะ “ไว” ต่อทุกเรื่องที่เข้ามากระทบ

 

กลยุทธ์ “สงบสยบความเคลื่อนไหว” จะใช้กับกรณีล่าสุดนี้ได้หรือไม่

จะทำให้เหตุการณ์กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง ปล่อยให้คน “ลืมๆ กันไป” เมื่อมีข่าวใหม่เมื่อมีเรื่องใหม่เข้ามาหรือไม่

หรือจะกลายเป็นหอกทิ่มตำ-โดยเฉพาะจากมือของคนกันเอง

ที่จะขยายผลจากบาดแผลตำรวจ ไปสู่บาดแผลของรัฐบาล บาลแผลของ คสช. หรือไม่

ในสถานการณ์ที่ความวัวความควายปะปนกันจนสับสนอย่างนี้

คดีเล็กก็กลายเป็นคดีใหญ่ได้ง่ายๆ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image