โลกกำลังเปลี่ยนไป โดย วีรพงษ์ รามางกูร

ข่าวเรื่องเวียดนามจะซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากอเมริกา สวนกับคำแถลงของไทยที่แถลงว่าไทยจะซื้ออาวุธจากจีน สำหรับคนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับคนที่เคยผ่านยุคสงครามเย็นมาแล้วน่าจะมีความรู้สึกแปลกๆ บ้าง ไม่มากก็น้อย

ในยุคสงครามเย็น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกแบ่งออกเป็น 2 ค่าย คือ ค่ายเสรีประชาธิปไตยที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวหน้าใหญ่ และฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่มีสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตหรือสหภาพโซเวียตเป็นหัวหน้า ทำการท้าทายกันทั้งในด้านการโฆษณาชวนเชื่อและการสร้างเสริมแสนยานุภาพทางทหาร

ต่อมาเมื่อสหภาพโซเวียตปฏิรูประบบเศรษฐกิจตามที่เสนอโดย ดร.ลิเบอร์แมน นำเอาระบบตลาดเข้ามาใช้ จีนซึ่งมีประธาน เหมา เจ๋อ ตง ที่เคร่งครัดในลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ก็แยกตัวออกมาต่างหาก ไม่ยอมอยู่ใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียต โดยอ้างว่าสหภาพโซเวียตไม่ใช่ลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แล้วแต่เป็นลัทธิแก้ ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียก็พลอยร้าวฉานไปด้วย

ในระหว่างสงครามเพื่อกอบกู้เอกราช เวียดนามได้เลือกเอาแนวทางสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในการต่อสู้เพื่อเอกราชของตน การที่เวียดนามเลือกเอาแนวทางคอมมิวนิสต์ เลือกรับความช่วยเหลือจากค่ายคอมมิวนิสต์ทั้งสหภาพโซเวียตและจีน ต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา เป็นเหตุให้พันธมิตรยุโรปตะวันตกเลือกเข้าข้างสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามในเวียดนาม

Advertisement

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศที่เคยอยู่ในสมาพันธรัฐอินโดจีน อันได้แก่ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา ก็เป็นธรรมชาติที่ไทยเลือกเข้าข้างสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรอย่างแข็งขัน

สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรอันได้แก่ยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เป็นประเทศที่เข้าร่วมสงครามอย่างเต็มตัว

สหรัฐอเมริกาเข้ามาจัดตั้งฐานทัพอากาศ ก่อสร้างสนามบินเพื่อรองรับเครื่องบิน B52 ที่นครสวรรค์ อุบลราชธานี อุดรธานี นครพนมและที่อู่ตะเภา รวมทั้งใช้ฐานทัพเรือที่อู่ตะเภาด้วย บรรยากาศโดยรอบของฐานทัพเต็มไปด้วยสถานเริงรมย์ มีอบายมุขทุกอย่างไว้รองรับทหาร ทั้งที่เป็นพลทหารและนายสิบ ทั้งที่เป็นทหารเกณฑ์และทหารอาชีพ แต่ส่วนใหญ่เป็นทหารเกณฑ์ที่ยังหนุ่มแน่น ทั้งที่เป็นเชื้อสายผิวขาวและเชื้อสายที่เป็นผิวดำมาพักอาศัยอยู่และมีเมียเช่าของตน จึงเป็นเหตุให้เกิดเด็กไทยที่มีบิดาเป็นทหารอเมริกันผิวขาวและผิวดำจำนวนมาก บริเวณโดยรอบฐานทัพจึงมีลักษณะไม่เหมือนประเทศไทย แต่ก็ไม่เหมือนอเมริกาหรือที่ไหนๆ เลย แต่เป็นเหมือนสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับคนที่ตกอยู่ในขุมนรก ที่เต็มไปด้วยความกักขฬะ หยาบคาย แสดงความรักกันในที่สาธารณะโดยไม่อับอาย ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนทั้งที่เมืองไทยและอเมริกา เป็นสภาพสังคมที่คนทั่วไปรับไม่ได้

Advertisement

การเข้าร่วมรบและเป็นฐานทัพของสหรัฐนั้น ประเทศไทยได้ทำตัวเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้านทางด้านตะวันออกและทางเหนืออย่างเต็มตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจีนและสหภาพโซเวียต

ในด้านการโฆษณาชวนเชื่อ สำนักข่าวสหรัฐหรือยูซีส USIS ได้เข้ามาตั้งสำนักงานและตั้งสถานีวิทยุทำการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อตอบโต้สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทยของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่มีที่ตั้งอยู่ที่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน กระทั่งเกิดความแตกแยกในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พรรคคอมมิวนิสต์ไทยประกาศอยู่ข้างพรรคคอมมิวนิสต์จีน ต่างกับพรรคของเวียดนามและลาวและอาจจะรวมทั้งกัมพูชา เมื่อกองทัพเวียดนามบุกเข้าขับไล่พอลพต เขมรแดง และสถาปนาเฮงสัมริน และเจียซิม ขึ้นเป็นรัฐบาลในกัมพูชา จีนซึ่งสนับสนุนเขมรแดงจึงลดบทบาทของตนในกัมพูชาลง

เมื่อเกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 สหรัฐอเมริกา ยุโรป ประกาศต่อต้านและไม่ยอมรับการทำรัฐประหาร ไทยจึงประกาศเอนไปทางจีนมากขึ้น

เมื่อเวียดนามประกาศเป็นมิตรกับสหรัฐมากขึ้น พร้อมกับเชื้อเชิญให้สหรัฐเข้ามามีผลประโยชน์ในเวียดนามมากขึ้นโดยบริษัทน้ำมันทั้งของสหรัฐและฝรั่งเศสเข้ามาลงทุนสำรวจและขุดเจาะแก๊สธรรมชาติและน้ำมันมากขึ้น และอาจจะมากกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ ในขณะเดียวกันประเทศไทยซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ ร่วมเป็นร่วมตายกันมาระหว่างสงครามเย็นกลับมีท่าทีเย็นชาทางการทูตมากยิ่งขึ้น ถึงขนาดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยออกมากล่าวโจมตีและประณามทูตสหรัฐอเมริกา รวมทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการว่าด้วยกิจการเอเชียและแปซิฟิก ของสหรัฐอเมริกาด้วย การเมืองระหว่างประเทศของไทยพลิกผันไปได้ถึงขนาดนี้

สหรัฐอเมริกา ขณะนี้เป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งอยู่ประเทศเดียว หลังจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหภาพโซเวียต ที่เคยเป็นจักรวรรดิรัสเซีย ที่เคยรวมเมืองขึ้นเดิมของพระเจ้าซาร์ไว้ทั้งหมด ก็แตกสลายกลายเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย ไม่ได้รวมกันเป็นจักรวรรดิหรือสหภาพเหมือนเดิม ไม่สามารถท้าทายสหรัฐอเมริกาได้เหมือนเดิม

จีนแม้จะเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวที่สหรัฐอเมริกาเกรงใจ แต่เทคโนโลยีทางทหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอวกาศของจีนยังล้าหลังสหรัฐอเมริกาอยู่ประมาณ 25-30 ปี ไม่มีทางที่จีนจะเอาชนะอเมริกาทางทหารได้เลย แต่ความที่จีนมีจำนวนพลเมืองมากกว่าสหรัฐถึง 4-5 เท่า จีนจึงอาจทำความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้มากกว่า อีกทั้งบริษัทอเมริกันต่างก็เข้าไปมีผลประโยชน์ในประเทศจีนอย่างมหาศาล สหรัฐจึงต้องยับยั้งชั่งใจอย่างมาก แม้ว่าจะมีความอิจฉาริษยาและระแวงจีนอยู่มากก็ตาม

ขณะเดียวกันอเมริกา แคนาดา และละตินอเมริกา ซึ่งรวมเป็นตลาดเดียวกัน ก็เป็นตลาดที่ใหญ่สำหรับจีนและอาเซียน การที่เวียดนามจะกลายเป็นมิตรที่ใกล้ชิดกับอเมริกาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เมื่อประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไปเยือนเวียดนาม ก็ได้รับการต้อนรับจากประชาชนชาวเวียดนามอย่างอบอุ่น เป็นภาพที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นในชีวิตนี้ เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงภาพการทำสงครามเวียดนามในทศวรรษที่ 1968 ในขณะเดียวกัน ความบาดหมางระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตกก็ไม่เคยนึกว่าจะได้ยิน ได้เห็น ถ้าคิดย้อนกลับไปถึงทศวรรษที่ 1960 เช่นกัน ทุกอย่างดูจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปเสียแล้ว

แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะระลึกถึงเสมอก็คือ ที่ตั้งของประเทศไทยนั้น ทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาจะปล่อยให้ตกไปอยู่ในอิทธิพลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ การที่ประเทศไทยเป็นมิตรกับมหาอำนาจทั้งอเมริกาและจีน ย่อมเป็นผลดีกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย หรือแม้แต่อาเซียน เพราะทุกฝ่ายสามารถใช้ไทยเป็นสะพานเจรจากับอีกฝ่ายหนึ่งได้เสมอ การเป็นกลางของประเทศไทยในเวทีการเมืองระหว่างประเทศอย่างที่เป็นอยู่ จึงเป็นผลดีกับทุกฝ่าย การที่อเมริกาจำเป็นต้องไม่ยอมรับ “รัฐบาลเผด็จการทหาร” ที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพียงเพราะกระทำการอันอาจจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐบาลทหาร ไม่ใช่ความมั่นคงของประเทศ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่ประการใด แต่ถ้าเรามีทรัพยากรน้ำมันอย่างบรูไน ซาอุดีอาระเบีย อิหร่านและชาติตะวันออกกลางอื่นๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะชาติเหล่านั้นอเมริกาไม่กล้าต่อต้าน แม้ว่าชาติเหล่านั้นจะไม่เคยมีการปกครองแบบประชาธิปไตยและไม่เคยพูดถึงสิทธิมนุษยชน สิทธิสตรีเลยก็ตาม เพราะเป็นความเชื่อของเขาอย่างนั้น

เรื่องที่แปลกในโลกยังจะมีต่อไปอีกเรื่อยๆ เมื่อผลประโยชน์ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจและการเมืองของมหาอำนาจถูกกระทบกระเทือน หรือความผุกร่อนของระบบการเมืองซึ่งอาจจะมีมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่เปิดเผยให้ได้ยินหรือให้ได้เห็น แล้วก็เกิดระเบิดขึ้นตามกฎของวิทยาศาสตร์การเมือง ซึ่งเป็นหลักสำคัญของสังคมมนุษย์

จึงไม่น่าจะแปลกใจที่ความสนใจของคนไทยตอนนี้ ไม่ได้อยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุข แต่สนใจอยู่ที่การเมือง ข่าวเรื่องการละเมิดคำสั่งหรือกฎอัยการศึกที่ถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องรัฐบาลอยู่ทุกวัน

ที่ใดมีการบังคับ ที่นั่นก็มีการต่อต้านเป็นธรรมดา ที่ใดทำประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ ที่นั่นก็มีความชื่นชม มีความร่วมมือ เป็นของธรรมดาของการเมือง

ไม่ใช่ของแปลกอะไร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image