แม้สถานการณ์ทางการเมืองจะคล้ายกับว่าไม่มีความเคลื่อนไหว แต่แท้จริงแล้วการเมืองไทยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านทางอำนาจอีกครั้ง
เป็นการเปลี่ยนผ่านจากอำนาจที่เคยอยู่ในมือ คสช. และในปัจจุบันก็ยังอยู่ในมือของ คสช.
แต่อำนาจเหล่านั้นกำลังค่อยๆ หวนคืนสู่มือประชาชนอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนตามเจตนาของ คสช.เอง หรือเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนด้วยสถานการณ์บังคับ
แต่ขณะนี้กำลังเกิดกระแสเสียงจากประชาชน เรียกคืนอำนาจ
กระแสดังกล่าวสัมผัสได้จากความต้องการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
จากวันที่ไอเดียเสนอแก้รัฐธรรมนูญเป็นเพียงแค่ “คำพูด”
แต่วันนี้ไอเดียดังกล่าวจุดติด กลายเป็นเป้าหมายที่มีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
ความต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นเรื่องน่าสนใจ
ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับฝ่ายที่ไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นปรากฏเด่นชัดมาโดยตลอด
พรรคอนาคตใหม่ เป็นผู้จุดประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคเพื่อชาติ และพรรคพลังปวงชนไทยกระโดดเข้ามาร่วมผลักดัน
ขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งยกมือสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และเข้าร่วมรัฐบาลก็ตั้งเงื่อนไขที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราที่ “ล็อก” การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เมื่อพรรคพลังประชารัฐยอมรับเงื่อนไข พรรคประชาธิปัตย์จึงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์
ส่วนพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาลอื่นนั้น ไม่เคยรับปากว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยิ่งสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการคัดสรรจาก คสช. ยิ่งไม่สนใจ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่เดือนหลังรัฐบาลตั้งขึ้น พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ปลุกกระแสให้ประชาชนเริ่มสนใจข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พรรคอนาคตใหม่ และพรรคฝ่ายค้าน วางยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกเป็น 2 แนวทาง
หนึ่ง แก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราที่ “ล็อก” การแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้ และสอง คือ การเลือกตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เมื่อถึงเวลาพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พรรคประชาธิปัตย์เองก็ยื่นญัตติเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาฯ
ขณะที่ฟากฝั่งรัฐบาล อาทิ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย
บอกว่ามีภารกิจอื่นสำคัญกว่า ปากท้องสำคัญกว่า ช่วยเหลือน้ำท่วมสำคัญกว่า
แต่ในที่สุดพรรคฝ่ายรัฐบาลก็ต้องขยับ พรรคพลังประชารัฐต้องเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน
สุดท้ายสภาผู้แทนราษฎรผลักดันให้ญัตติดังกล่าวเป็นญัตติด่วน
การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างฝ่ายหนึ่งสนับสนุน คสช. อีกฝ่ายหนึ่งไม่สนับสนุนยังคงมีอยู่เนืองๆ
ทั้งสองฝ่ายต่างมีคดีความกันที่ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นคำร้องเรื่องถือหุ้นสื่อ คำร้องเรื่องคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ คำร้องเรื่องการถวายสัตย์ไม่ครบตามถ้อยความที่รัฐธรรมนูญกำหนด คำร้องเรื่องการแถลงนโยบายโดยไม่บอกที่มาของงบประมาณ
ล่าสุด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังตอบโต้กับข้อกล่าวหาเรื่องคดีในอดีต และคุณวุฒิการศึกษา
คำร้องต่างๆ ทยอยส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย หลายกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เช่น รับคำร้องที่กล่าวหา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถือหุ้นสื่อ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้รับเรื่องและสั่ง “พักงาน” นายธนาธรในการทำหน้าที่ ส.ส.
หรือคำวินิจฉัยที่ไม่รับคำร้อง เช่น คำร้องเกี่ยวกับการถวายสัตย์ไม่ครบตามข้อความตามรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ ยังมีการรับคำร้องกรณี ส.ส. และ ส.ว. ถือหุ้นสื่อ ซึ่งจะต้องมีคำวินิจฉัยออกมาในไม่ช้า ซึ่งวันที่ 18 ตุลาคม ศาลรัฐธรรมนูญจะไต่สวนคำร้องเกี่ยวกับสถานภาพ ส.ส.ของนายธนาธร
การต่อสู้กัน 2 ฝ่าย ล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงที่จะอยู่ในตำแหน่งหรือไม่อยู่ในตำแหน่งได้เสมอ
เช่นเดียวกับพรรคการเมืองที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค
ไม่แปลกเลยที่การต่อสู้ระหว่างการเมือง 2 ขั้วจะมีการเตรียมการเอาไว้เป็นแผนสำรองเสมอ
กรณีพรรคอนาคตใหม่ บังเกิดกระแสข่าวว่า ตระเตรียมเชิญ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตที่ปรึกษาพรรคไทยรักษาชาติเข้าสังกัดสมาชิกพรรคอนาคตใหม่
ในวันที่ 22 กันยายน พรรคอนาคตใหม่จะจัดเวทีสานเสวนา ครั้งที่ 4
“จินตนาการใหม่ ข้อตกลงใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่ : ประเทศไทยแบบไหนที่เราอยากอยู่ร่วมกัน” ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ครั้งนี้มีวิทยากรร่วมเวที ทั้งนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายโอฬาร ถิ่นบางเตียว จากภาควิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
รวมทั้งนายจาตุรนต์ ฉายแสง ด้วย
อย่าลืมว่าเวที “จินตนาการใหม่ ข้อตกลงใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่” นี้ ดีไซน์ขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาโดยเฉพาะ
อย่าลืมว่า นายจาตุรนต์ นั้นมีท่าทีในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยืนอยู่ตรงข้ามกับ “มรดกของ คสช.” เช่นเดียวกับพรรคอนาคตใหม่
อย่าลืมว่า แม้พรรคไทยรักษาชาติจะยุบไป แต่นายจาตุรนต์ไม่ได้ถูกแบนทางการเมือง
ดังนั้น หากการดึงนายจาตุรนต์เข้าพรรค เพื่อร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แก้รัฐธรรมนูญต่อไปให้ลุล่วง
ย่อมเป็นไปได้
เมื่อผนวกกับสถานการณ์ของรัฐบาลที่เริ่มเข้าสู่ขาลงอย่างรวดเร็ว สังเกตอาการของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่สัมผัสได้ถึงความเครียด
รวมถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ถั่งโถมเข้าใส่ จนประชาชนทั่วประเทศเริ่มมองหาการเปลี่ยนแปลง
ย่อมผลักดันให้สถานการณ์การเมืองขยับเข้าสู่โซนเปลี่ยนผ่านอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่จังหวัดนครปฐม และการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่จังหวัดกำแพงเพชร ในเร็วๆ นี้ จะเป็นการพิสูจน์สถานการณ์ทางการเมือง
การเลือกตั้งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ที่จะมีขึ้นปลายปี 2562 หรือต้นปี 2563 ก็จะพิสูจน์
พิสูจน์สถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังเปลี่ยนผ่านอำนาจ
เปลี่ยนจากอำนาจที่เคยอยู่ในมือ คสช. เปลี่ยนไปอยู่ในมือของประชาชน
การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องประชาพิจารณ์ย่อมสะท้อนภาพอำนาจในมือประชาชน
การเลือกตั้งซ่อม และเลือกตั้งท้องถิ่นก็สะท้อนภาพอำนาจในมือประชาชน
หากผลที่สุดแล้วประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลง
นั่นคือความเคลื่อนไหวสำคัญของการเมืองไทยอีกครั้ง