ที่มา | คอลัมน์สยามประเทสไทย มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
เก็บกระดูกคนตาย (ปัจจุบันเรียกเก็บอัฐิ) หมายถึงเมื่อเผาศพจนเหลือกระดูกเป็นเถ้าถ่านแล้ว (เรียกอัฐิ) มีพิธีเก็บกระดูก (อัฐิ) ไว้ในภาชนะหรือบรรจุในที่สำคัญ เช่น โกศไม้หรือโลหะ, ผอบ, หม้อดินเผา, เจดีย์, กำแพงวัด, ฯลฯ
เป็นพิธีกรรมสืบเนื่องจากประเพณีฝังศพครั้งที่ 2 ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ราว 2,500 ปีมาแล้ว
ประเพณีฝังศพครั้งที่ 2 (Secondary burial) หมายถึง เมื่อมีคนตายให้เอาศพไปฝังดินจนเนื้อหนังเปื่อยเน่าเหลือแต่กระดูก พอได้ระยะเวลาหนึ่งก็ขุดกระดูกขึ้นมาล้างน้ำจนสะอาดบรรจุลงในภาชนะดินเผา แล้วทำพิธีฝังอีกครั้งหนึ่ง (เรียกฝังศพครั้งที่ 2)
เป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับศพราว 2,500 ปีมาแล้ว มีเหมือนกันทั้งอุษาคเนย์โบราณตั้งแต่ตอนใต้ของจีน (กวางสี-กวางตุ้ง) ลงไปถึงหมู่เกาะ
ต้นเหตุฝังศพ 2 ครั้ง เพราะยุคดึกดำบรรพ์ยังไม่เรียกศพว่าคนตาย แต่จะเรียกอย่างอื่น (ซึ่งไม่รู้ว่าอะไร?) เพราะเชื่อว่าคนที่นอนไม่พูดจา (และไม่หายใจ) นั้นเนื่องจากขวัญไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เรียกกันภายหลังถึงปัจจุบันว่าขวัญหาย, ขวัญเสีย, เสียขวัญ
ต้องร่วมกันทำพิธีเป่าปี่ตีกลองตีฆ้องร้องป่าวร้องรำทำเพลงอึกทึกครึกโครมที่สุดให้ขวัญได้ยิน จะได้รู้ว่าร่างอยู่ที่ไหน? แล้วกลับเข้าร่าง
เป็นต้นแบบทุกวันนี้ให้มีปี่พาทย์ประโคมงานศพและมหรสพต่างๆเล่นหน้าศพ เช่น โขน, ละคร, ลิเก, รำวง, โคโยตี้ ฯลฯ
เมื่อขวัญไม่กลับแน่แล้ว จึงเอาศพไปฝังพร้อมเครื่องมือเครื่องใช้ไว้ใช้งาน โดยหวังว่าขวัญจะคืนไม่วันใดก็วันหนึ่ง
นานเป็นปี หรืออาจหลายปี ในกรณีบุคคลสำคัญ เช่น หัวหน้าเผ่า, หมอมดหมอผี ฯลฯ เนื้อหนังเน่าเปื่อยหมดแล้ว ต้องขุดขึ้นมาล้างน้ำใส่หม้อไหภาชนะสำคัญฝังอีกครั้งหนึ่ง
หลังรับศาสนาจากอินเดียตั้งแต่ราวหลัง พ.ศ. 1000 คนรู้ว่านี่คือความตาย ประเพณีงานศพก็ถูกปรับเปลี่ยนเป็นเผาตามประเพณีอินเดีย แต่ไม่ทิ้งกระดูก ยังต้องเก็บกระดูกไว้ในที่สำคัญตามความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับขวัญ
ตอนเก็บกระดูก ต้องทำสามหาบ คือญาติมิตรหาบข้าวของเครื่องใช้ตะโกนว่ามาทางนี้ๆเรื่อยไปด้วย เป็นร่องรอยดึกดำบรรพ์ตะโกนเรียกขวัญให้คืนร่าง