คาถากันขโมย โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

ผีที่มีตัวตนที่ใครๆ ว่าดุนั้น ก็สักแต่ได้ยินเขาเล่าสืบต่อกันมา ผมเองก็เขียนเรื่องผีเรื่องเปรตหากินมานาน ได้หลายเงินแล้วด้วย แต่ไม่เคยเจอผีเลยสักครั้ง ผมจึงไม่ค่อยกลัวผีเท่าไหร่

แต่ผีที่ผมพบค่อนข้างบ่อยและกลัวเอามากๆ ก็คือผีที่มองเห็นได้ สัมผัสได้

คนนี่แหละครับ คนที่ทำตนเป็นดุจผีดุจเปรต คอยหลอกคอยต้มตุ๋นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ ร้ายกาจนัก

คนที่ทำตนเป็นไอ้ตีนแมวตีนหมาคอยลักขโมยเอาทรัพย์สินของชาวบ้านยามเขาเผลอหรือนอนหลับ นี่ก็ผีเปรตอีกชนิดหนึ่งที่ชาวบ้านกลัวกันนัก เพราะทรัพย์สินเงินทองที่อุตส่าห์หามาได้ด้วยความยากลำบาก ไม่รู้ว่ามันจะถูกเจ้าผีเปรตพวกนี้ “ยกเค้า” เอาเมื่อไหร่

Advertisement

ขนาดใส่กุญแจแน่นหนาสามชั้นสี่ชั้นก่อนออกไปทำงาน กลับมาไม่มีร่องรอยถูกงัดถูกแงะอะไร แต่ข้าวของมันหายไปได้ยังไง ทีวีเอย เครื่องสเตริโอเอย เครื่องเพชรเครื่องทองเอย ที่ไหนได้ แหงนดูเพดาน มีช่องโหว่รูเบ้อเร่อ

มันงัดกระเบื้องหลังคา เจาะเพดานลงมา อะไรจะปานนั้น

เพื่อนผู้อาวุโสผมคนหนึ่งบอกว่า ก่อนจะเข้านอนหรือก่อนจะออกจากบ้านไปไหน ให้หาผลไม้หรือเครื่องดื่มใส่ตู้เย็นไว้ให้เต็มนะ ผมถามว่าทำไม ท่านบอกว่าเอาไว้ให้ขโมยมันกิน เผื่อมันงัดบ้านมาขนของ มันหิวขึ้นมาเปิดตู้เย็นไม่มีอะไรกิน เดี๋ยวมันยัวะขึ้นมา มันจะไม่เอาแต่ข้าวของ มันอาจเผาบ้านเราก็ได้

Advertisement

ช่างโหดร้ายอะไรเช่นนั้น

เพื่อนคนหนึ่งถูกขโมยขึ้นบ้านมานับเป็นสิบครั้ง ชั่วระยะเวลาไม่ถึงห้าปี ถามผมว่าทำไมบ้านคุณไม่เคยโดนเลย ผมบอกว่า ผมมีคาถาดี ขโมยถึงไม่กล้าแหย็ม (ที่จริง…ถึงไม่มีคาถาอะไร ขโมยมันก็ไม่ขึ้นบ้านผมให้เมื่อยดอก เพราะไม่มีอะไรให้มันขน นอกจากหนังสือ)

เพื่อนทำตาโตเชียว ขอคาถากันขโมยจากผม ผมก็จดให้ไปท่อง

ปรากฏว่าตั้งแต่นั้นมาบ้านเพื่อนผมยังไม่โดนอาคันตุกะยามวิกาลมาเยี่ยมเยียนอีกเลย หรือว่ามันจะ “ขลัง” จริงๆ

คาถาบทนี้มีความเป็นมาครับ ขอเล่าประวัติเสียก่อนแล้วค่อยบอกคาถา

ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีมาณพน้อยคนหนึ่งเดินทางไปศึกษาศิลปวิทยากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ แกเป็นคนหัวขี้เลื่อย อาจารย์สอนให้ท่องอะไรก็ท่องไม่ได้ ศิษย์คนอื่นเขามาเรียนไม่กี่ปีก็จบไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่ศิษย์คนนี้อยู่ตั้งหลายปีแล้วยังเรียนไม่จบ อาจารย์สงสารจึงเรียกไปพบวันหนึ่ง กล่าวว่า

“เธอมาอยู่กับฉันหลายปีแล้ว เรียนไม่จบสักที เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะให้คาถาสำคัญบทหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เธอดำรงชีพได้โดยไม่ลำบาก”

ว่าแล้วอาจารย์ก็จดคาถาให้ กำชับว่าให้ท่องบ่นดังๆ ทุกเวลาที่นึกขึ้นมาได้

เขาก้มกราบอาจารย์แล้วเดินทางกลับบ้านเมืองของตน กลับถึงบ้านพ่อแม่ก็จัดงานเลี้ยงฉลองอย่างใหญ่โตมโหฬาร ต้อนรับลูกชายผู้เรียนสำเร็จกลับมา คืนนั้นแขกเหรื่อที่มาในงานกินและดื่มกันเต็มคราบ บ้างก็กลับบ้านตน บ้างก็นอนสลบไสลอยู่ที่บ้านเจ้าภาพ

ตกดึกมีโจรสามสี่คนพยายามขึ้นบ้านเพื่อจะไปขโมยของ เด็กหนุ่มหัวขี้เลื่อยนอนหลับไปพักใหญ่ ตื่นขึ้นมาอีกทีเวลาตีสามตีสี่ นึกถึงคำสั่งของอาจารย์ได้ จึงท่องคาถาที่อาจารย์ให้มาเสียงดัง

ขโมยซึ่งกำลังปีนกำแพงบ้านตกใจพากันโกยแน่บหนีไปโดยไม่คิดชีวิต

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของชายวัยกลางคนคนหนึ่งโดยตลอด ชายผู้นี้เป็นพระราชาผู้ครองประเทศ คืนนั้นได้ปลอมตัวไปตรวจดูสารทุกข์สุกดิบของชาวเมือง เมื่อมาถึงบ้านบัณฑิตหนุ่มสดๆ ร้อนๆ คนนี้ก็พอดีเห็นเหตุการณ์นี้เข้า รุ่งเช้าขึ้นมาจึงรับสั่งให้มหาดเล็กมาตามเด็กหนุ่มเข้าไปเฝ้า ขอให้เขาสอนคาถาให้พระองค์บ้าง

ชายหนุ่มก็ยินดีจดคาถาถวายพระราชาไป กราบทูลว่าให้ท่องคาถานี้ทุกครั้งที่พระองค์ทรงนึกได้

บังเอิญระยะเวลาดังกล่าว เสนาบดีกำลังคิดก่อการขบถ ได้วางแผนให้ช่างกัลบก (ช่างตัดผม) เฉือนพระศอพระราชา ในวันที่พระองค์ทรงเครื่องใหญ่ (ตัดผม) ซึ่งเป็นวันนั้นพอดี

ช่างกัลบกลับมีดโกนแล้วๆ เล่าๆ เพื่อให้แน่ใจว่ามีดคมพอที่จะเฉือนพระศอทีเดียวขาด

ขณะรอเวลาอยู่นั้น พระราชาทรงนึกถึงคาถาขึ้นมาได้ทรงท่องเสียงดัง

เท่านั้นแหละครับ ช่างกัลบกทิ้งมีดโกนหมอบแทบยุคลบาทพระเจ้าแผ่นดินละล่ำละลัก พระองค์ทรงไหวทัน ทรงกระทืบพระบาทสำทับ เค้นเอาความลับจากเขาทั้งหมด ทรงรับสั่งให้จับเสนาบดีเนรเทศออกจากพระนครในทันใด

นับว่าทรงกำจัดเสี้ยนหนามได้ทัน เพราะคาถาบทนี้แท้ๆ

พระองค์ทรงรำลึกถึงบุญคุณของบัณฑิตหนุ่มที่ช่วยชีวิตพระองค์ไว้ได้ จึงทรงสถาปนาให้เขาดำรงตำแหน่งเสนาบดีสืบแทนคนก่อน

โบราณาจารย์จึงนำเอาคาถาบทนั้นมาเป็นคาถากันขโมย สอนกันว่าก่อนจะเข้าหรือจะออกจากบ้านไปไหนให้ว่าคาถานี้ แล้วเป่ารูกุญแจ จะป้องกันขโมยขึ้นบ้านได้ชะงัดนักแล

คาถามีว่า “ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณา ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ”

ลองนำไปใช้ดู สั้นๆ ท่องได้ง่าย สบายมาก

หรือจะเขียนยันต์แปะไว้หน้าประตูก็จะขลังยิ่งขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image