วิบากกรรม โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

วิบาก หมายถึงผลของกรรม ผลของการกระทำที่เราทำไว้

พระพุทธองค์ตรัสว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กรรมที่เราทำไว้แล้วนั่นแหละครับ ไม่หายไปไหน มันรอเวลาและโอกาสที่จะให้ผลอยู่เสมอ

ท่านเปรียบดุจสุนัขไล่เนื้อ มองเห็นภาพพจน์ดี ถ้าสุนัขไล่เนื้อทัน มันก็จะกัดเนื้อทันที แต่ถ้ามันไม่ทัน เนื้อก็รอดตัวไป

กรรมที่ทำไว้มันก็ไล่ตามคนเช่นเดียวกัน เพียงแต่เรามองไม่เห็นตัวเห็นตนเหมือนหมาไล่เนื้อ ถ้ามันทัน ได้โอกาสเหมาะ มันก็ให้ผล แต่ถ้ามันมีเงื่อนไขอย่างอื่นเข้ามาผสมด้วย มันอาจไม่มีโอกาสให้ผล

Advertisement

กรรมที่ทำไว้ก็เจ๊าไป ทางพระท่านเรียกว่าเป็นอโหสิกรรม

การทำดีไว้มากๆ นี่แหละครับ มันอาจเป็นเงื่อนไขทำให้กรรมไม่ดีที่เคยทำไว้ผ่อนแรง หรือหมดแรงให้ผลไปเลย เพราะฉะนั้นพระท่านจึงสอนให้พยายามทำดีไว้มากๆ

เรื่องกรรมให้ผลนี้มีเล่าไว้มากมาย ทั้งในคัมภีร์ทางศาสนา ทั้งจากปากของผู้คนแต่เก่าก่อน และแม้แต่ในสมัยปัจจุบันนี้

Advertisement

เพื่อนผมคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีสองสามีภรรยาขับรถกลับจากเที่ยวชายทะเลแถวภาคตะวันออก จะหลับในหรืออย่างไรไม่ทราบ รถแฉลบไปชนสะพานพลิกคว่ำลงข้างทาง ออกไม่ได้ ไฟลุกไหม้เผาคลอกตายอย่างน่าอนาถทั้งผัวทั้งเมีย

เพื่อนเล่าว่า สองสามีภรรยานี้มีธุรกิจขายไก่ย่างไก่อบฟางเกี่ยวข้องกับการฆ่าไก่เผาไก่อบไก่มานานปี กิจการก็เจริญร่ำรวยดีดอก แต่ผลที่สุดตัวเองก็มาตายแบบเดียวกับไก่

คือถูกเผางอก่องอขิงอย่างน่าอเนจอนาถ

จะเป็นเพราะวิบากหรือผลแห่งกรรมหรือเปล่า ก็คิดเอาแล้วกัน

ลองย้อนไปฟังเรื่องสมัยพุทธกาลดูบ้าง มีพระภิกษุเจ็ดรูปเดินทางมาจากต่างเมือง เพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ที่พระเชตวัน เมืองราชคฤห์ ในระหว่างทางท่านทั้งเจ็ดก็เข้าไปพักแรมในถ้ำแห่งหนึ่ง อยู่ๆ ก็มีก้อนหินใหญ่กลิ้งมาปิดปากถ้ำเฉยๆ ท่านทั้งเจ็ดพยายามผลักเท่าไรก็ไม่สามารถผลักออกได้ จึงจำต้องอยู่ภายในถ้ำนั้น ข้าวปลาก็ไม่ได้ฉัน นึกว่าต้องตายเป็นแน่แท้

เหตุการณ์ผ่านไปได้เจ็ดวัน อยู่ๆ ก้อนหินก็กลิ้งออกจากปากถ้ำเฉยๆ ยังกับมีมือมหึมาที่ไหนมาผลักออก ท่านทั้งเจ็ดต่างก็คลานออกมาจากถ้ำด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็มที ดีใจที่รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์

เมื่อท่านทั้งเจ็ดเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า หลังจากฟังธรรมจบก็ได้กราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า เหตุใดพวกตนจึงถูกขังอยู่ในถ้ำโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และเหตุใดอยู่ๆ ก้อนหินนั้นก็กลิ้งออกจากปากถ้ำเอง

พระพุทธเจ้าตรัสเล่าว่า เมื่อชาติก่อนพวกเธอทั้งเจ็ดรูปได้ทำบาปกรรมไว้ จึงต้องมารับผลอันสมกับกรรมที่ทำไว้

เมื่อถูกถามว่าพวกเธอได้ทำกรรมอะไรไว้ พระองค์เล่าให้ฟังว่า ในอดีตชาติอันยาวไกลโพ้น มีเด็กเลี้ยงโคทั้งเจ็ดต้อนโคไปหากินยังที่แห่งหนึ่ง เห็นเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่งจึงพากันวิ่งไล่เพื่อจับไปกิน เหี้ยวิ่งหนีเข้าไปยังจอมปลวกแห่งหนึ่ง เด็กเหล่านั้นก็พยายามไล่ให้มันออกมา อย่างไรมันก็ไม่ออก เอาไม้แหย่ก็แล้ว เอาน้ำกรอกก็แล้ว มันก็ไม่ออกมาให้จับ

หัวหน้าเด็กเหล่านั้นจึงบอกเพื่อนว่า หาอะไรมาอุดรูไว้ก่อน พรุ่งนี้เราค่อยมาจัดการกับมันใหม่ วันนี้ค่ำแล้ว

เด็กเหล่านั้นก็พากันเอาใบไม้มาอุดรูไว้แล้วก็ต้อนโคกลับเข้าหมู่บ้าน

วันรุ่งขึ้นพวกเขาต้อนโคไปหากินที่อื่น ลืมเรื่องเหี้ยสนิท เจ็ดวันผ่านไป เมื่อพวกเขาต้อนโคกลับมาหากินยังที่เดิม เห็นจอมปลวกนั้นแล้วนึกขึ้นมาได้ จึงเปิดรูจอมปลวก

เหี้ยอดอาหารเป็นเวลาเจ็ดวัน คลานออกมาด้วยอาการสั่นเทา ผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก

พวกเด็กๆ เห็นมันแล้วเกิดความสงสาร เสียงคนหนึ่งบอกว่า

อย่าทำอะไรมันเลย มันไม่ได้กินอาหารจนใกล้จะตายอยู่แล้ว น่าสงสารจัง

แล้วพวกเขาก็เอามือลูบหลังมัน กล่าวกับมันว่า

เจ้าเหี้ยเอ๋ย พวกข้าขอโทษเอ็งนะ ที่ทำให้เอ็งอดอาหารแทบตาย ตอนนี้เอ็งเป็นอิสระแล้ว จงไปตามทางของเอ็งเถอะ

เด็กเลี้ยงโคพวกนั้นกลับมาเกิดเป็นพวกเธอนี่แหละ

พระพุทธเจ้าสรุป

เพราะพวกเธออุดรูจอมปลวกทรมานให้เหี้ยมันอดอาหารถึงเจ็ดวัน พวกเธอจึงถูกก้อนหินกลิ้งมาอุดปากถ้ำอดอาหารเจ็ดวัน แต่เพราะพวกเธอเกิดความสงสาร ไม่ฆ่ามัน ในที่สุดก้อนหินก็กลิ้งออกจากปากถ้ำเอง พวกเธอจึงไม่ตาย

เล่าให้ฟังไว้เป็นข้อคิด เรื่องกรรมเรื่องเวรอย่าได้ดูถูกเป็นอันขาด พระพุทธองค์ตรัสเตือนไว้ว่า

ไม่ว่าจะอยู่ป่า อยู่ซอกเขา อยู่กลางทะเล

ไม่ว่าจะเหาะเหินเดินหาวดุจดังนก

ไม่ว่าจะไปอยู่ ณ ที่ใดๆ คนเราจะหนี

บาปกรรมที่ทำไว้นั้นไม่มี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image