หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7:2 ให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. กรณีถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง
เสมือนถูก “ประหาร” ทางการเมือง!?
เมื่อหัวหน้าพรรคไม่ได้เป็น ส.ส. การดำเนินงานทางการเมืองของพรรคจะก้าวเดินไปในทิศทางใด?
ยิ่ง กกต. “รับไม้” นัดประชุมเอาผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาขยายผลเอาผิด “ธนาธร” ตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ.2561 ที่ระบุว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกำหนด 20 ปี”
และกรณีปล่อยกู้ของธนาธรให้กับพรรค อนค.ที่จ่อคิวตามมาอีกระลอก
นี่เป็นวิบากกรรมที่ต้องเผชิญ!
ดังนั้น การต่อสู้ของธนาธร ในประเด็นต่างๆ เหล่านี้ ต้องรอบคอบ รัดกุม มีศิลปะ ชั้นเชิง เทคนิค ผสมผสานทางกฎหมาย
เพราะคดีนี้ไม่เหมือนคดีอาญาทั่วไป ที่มีโอกาสแก้ตัวถึง 3 ศาล
แต่คดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น มีคำวินิจฉัยชนิดม้วนเดียวจบ
ซึ่งเป็นเรื่องของคดีความที่ต้องต่อสู้กันต่อไป
ทว่าบทบาทหน้าที่ของพรรคการเมือง ทั้งในและนอกสภา คงต้องดำเนินการต่อไป
ในสภานั้น ต้องยอมรับว่ามี “ปิยบุตร แสงกนกกุล”, “ช่อ-พรรณิการ์ วานิช”, “ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และสมาชิกคนอื่นๆ ได้แสดงบทบาทโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ทั้งข้อมูล การเสนอแนะ แก้ปัญหา หาทางออกอย่างมีเหตุมีผล เป็นที่ยอมรับในสภาอยู่แล้ว
ขณะที่บทบาทนอกสภานั้น พรรคจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งสร้างความนิยมให้คงไว้อย่างต่อเนื่องด้วยการรณรงค์ทำกิจกรรม เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติในอนาคต
โดยเฉพาะนโยบายยกเลิก “เกณฑ์ทหาร” ที่บรรดาวัยรุ่นตอบรับกันอย่างคึกคัก
ต้องยอมรับว่า “เด็กรุ่นใหม่” มีการศึกษาสูง จบการศึกษาแล้ว อยากทำงาน สร้างเนื้อสร้างตัว ลงหลักปักฐานตามสายงานที่เล่าเรียนมา
แต่ติด “กับดัก” โดยเฉพาะชายที่มีสัญชาติไทย มีหน้าที่ต้องเข้ารับราชการทหารด้วยตนเองทุกคน
ทำให้เสีย “เวลา-โอกาส” ในการทำมาหากิน
ในอดีตการเกณฑ์ทหารนั้น ถือว่ามีความสำคัญเพราะยังมี “ศึกสงคราม”
ทว่าปัจจุบัน โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “สงคราม” ใช้กำลัง แปรเปลี่ยนเป็นการต่อสู้รูปแบบอื่นๆ เข้ามาแทนที่
อนาคตใหม่หยิบยก “ยกเลิกเกณฑ์ทหาร” เข้ามาอาจสอดรับกับบริบททางสังคม จึงได้รับเสียงตอบรับอย่างท่วมท้นจากบรรดา “วัยโจ๋”
ไม่เฉพาะ “ผู้ชาย” แต่ “ผู้หญิง” ที่เป็นแฟน เป็นเพื่อน เป็นญาติ แม้กระทั่งพ่อแม่ ผู้ปกครอง ก็ถูกอกถูกใจกับนโยบายดังกล่าว
การเป็นทหารควรจะเป็นความสมัครใจหรือไม่?
น่าจะเป็นการบ้านให้กองทัพ นำไปขบคิด ปรับตัว สร้างแรงจูงใจ ส่งเสริมชายไทยที่มีอายุครบ 21 ปี ให้อยากสมัครเข้ามาเป็นทหาร หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม “วิบากกรรม” ของ “ธนาธร” และ “อนค.” ครั้งนี้จะเป็นบทพิสูจน์ “การเดินทาง” ว่าจะฝ่าวงล้อมกลไกต่างๆ ของรัฐไปได้อย่างไร
และจะเกิดวิกฤตเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองหรือไม่!?