ที่มา | คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|---|
ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
เผยแพร่ |
การทำให้ศูนย์ปราบโกงประชามติกลายเป็น อากาศธาตุ กำลังดำเนินไปอย่างเอาจริงเอาจัง
แต่กระนั้น ต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่า อากาศ นั้น
มีคุณสมบัติ ฟุ้งกระจาย
จับ ขัง เอาไว้ไม่ได้ มันขัดธรรมชาติ
เพราะขังอย่างไรก็ขังไม่อยู่
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจ ที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และแกนนำ นปช.จะไม่อาทรร้อนใจกับการถูกจับ
แถมยังท้าทายให้จับเสียด้วย
เพราะมันจะยิ่งช่วยกระพือให้ ศูนย์ปราบโกงประชามติ ฟุ้งกระจายออกไปมากยิ่งขึ้นอีก
ในตอนนี้ แม้จะยังไม่มีการเปิดสาขาศูนย์ปราบโกงฯแม้แต่สักแห่ง
แต่รัฐบาล คสช. กกต.กลับไปช่วยกระพือเสียเอง
ไม่ใช่แค่ภายในประเทศ หากแต่ไปถึง ยูเอ็น
เช่นเดียวกับสหรัฐและยูเอ็นที่เริ่มส่งเสียง ขอพื้นที่ให้มีการแสดงความเห็น
จะไปโทษใครก็ไม่ได้ เพราะเมื่อเลือกจะออกแบบให้กฎหมายประชามติออกมาเช่นนี้ คือ มุ่ง ควบคุม มากกว่า เปิดกว้าง
ก็ต้องเดินหน้า ควบคุม ให้อยู่
แต่เมื่อควบคุมไม่อยู่
ก็ต้องอยู่ในภาวะปราม แต่ปราบไม่ได้
และวิ่งตามเกมของอีกฝ่ายอย่างเหน็ดเหนื่อย
เพียงแต่จะยอมรับความจริงนี้หรือไม่เท่านั้น
แน่นอน ภาพที่ทหาร-ตำรวจบุกไปปลดป้ายศูนย์ปราบโกงฯตรงนี้ตรงนั้น เหมือนเป็นการ รุก อีกฝ่าย
แต่เป็นการรุกที่สูญเปล่ามากกว่า
เพราะอย่างที่บอก มันกลับไปช่วยกระพือให้คนรู้สึกว่ามีแต่การใช้ อำนาจ จัดการ
ทั้งที่กระบวนการประชามติมันควรเป็นการเปิดกว้าง เปิดการดีเบต อำนาจควรจะช่วยส่งเสริม
ไม่ใช่ไปปิดปาก
ยิ่งเขาอ้างว่าจะมาช่วยปราบ โกง ก็ยิ่งควร พิสูจน์ ว่า จะทำเช่นนั้นจริงหรือไม่
ถ้าทำไม่ได้ หรือบิดเบี้ยวไป คนที่เสียก็คือ นปช. ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาล
แต่น่าเสียดายที่มองข้ามประเด็นนี้ไป
อาจจะอ้างว่า ก็เพราะเรื่องนี้มี เกมการเมือง อยู่ข้างหลัง
ก็ลองถามตัวเองซื่อๆ และตรงไปตรงมาว่า การออกแบบการทำประชามติให้เป็นเช่นนี้ มีเกมการเมืองแอบแฝงหรือไม่
ปฏิเสธไม่ได้หรอก
ตัวเองทำได้ คนอื่นก็ทำได้ จะรับมือกับมันอย่างไรนั่นสำคัญกว่า
ถามว่า เมื่อรัฐบาลและ คสช.ถลำไปในความเชื่อว่าอำนาจจะคุมอะไรได้ทุกอย่าง อันนำมา
ซึ่งคำสั่งให้ปิดศูนย์ปราบโกงประชามติ แต่เอาเข้าจริง คุมได้หรือไม่ ก็คงเห็นกันอยู่
เราได้เห็น การฟุ้งกระจาย จากผลแห่งการคุมเข้มมากกว่า
จึงนำมาสู่การท้าทายของ นปช.
และตามมาด้วยการท้าทายอย่างกลุ่มแกนนำพรรคเพื่อไทย 17 คน ด้วยการแสดงจุดยืนไม่รับรัฐธรรมนูญ
หลังจากนี้ก็อาจจะมีหลายกลุ่มติดตามมา
สะท้อนให้เห็นเมื่ออำนาจคุมไม่ได้จริง การท้าทายก็ยิ่งเกิดขึ้น
และน่าแปลก แทนที่จะรีบสรุปบทเรียนเพื่อรุกไล่กลับ
เรากลับเห็นการใช้แนวทางเดิมๆ อีก นั่นคือ หวังพึ่ง อำนาจ อีกตามเดิม
ตอนนี้เราเห็นข้อเสนอให้เอาเรื่องแกนนำพรรคเพื่อไทย ด้วยการ ยุบพรรค เสีย
ฐานขัดคำสั่ง คสช. ด้วยการทำกิจกรรมทางการเมือง
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ยิ่งเสียการเมืองเพิ่มขึ้นไปอีก
เพราะในขณะที่อีกฝ่ายกำลังต่อสู้เพื่อขอพื้นที่ในการแสดงความเห็น อีกฝ่ายก็ยังหน้าดำ
คร่ำเครียดกับความพยายามใช้อำนาจ
ใช้กฎหมายประชามติไม่ได้
ก็ไปหยิบเอาคำสั่งของ คสช.ซึ่งถูกมองว่าไร้ความชอบธรรมในฟากหนุนประชาธิปไตยมาใช้ยุบพรรคอีก
ก็เข้าทำนอง ความพยายามจับ อากาศ ขังนั่นเอง