ทําไมพรรคอนาคตใหม่จึงฟ้อง 7 กกต.ในข้อหาทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ทำไมพรรคอนาคตใหม่ จึงออกมาเปิดโปงเอกสารอัน “หลุด” จาก กกต.
นี่คือท่าทีที่ “แข็งกร้าว” ขาด “การประนีประนอม”
นี่คือท่าทีที่ไม่อ่อนน้อมถ่อมตน นี่คือท่าทีที่อาจสรุปได้ว่าเป็น #อยู่ไม่เป็น ในทางการเมือง อันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับท่าที#อยู่เป็น
อาจเพราะว่ามีความเด่นชัด
เด่นชัดในปฏิบัติการ LAWFARE ที่ประสบระลอกแล้วระลอกเล่ากว่า 20 คดี นับแต่หลังเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 เป็นต้นมา
ธง 1 ก็คือไม่ต้องการให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เข้าสภา
ธง 1 ก็คือไม่ต้องการให้พรรคอนาคตใหม่มี “สมาธิ” ในการทำงานและธง 1 ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดคือ ยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหาร
เป้าหมายใหญ่คือ ก่อภาวะระส่ำระสายในทางการเมือง
ถึงแม้ว่าธงว่าด้วยการยุบพรรค ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคจะยังมาไม่ถึง แต่ในแต่ละยุทธวิธีของ LAWFARE ก็เริ่มส่งผลสะเทือน
เห็นได้จากการแหกมติพรรคในกรณี “พระราชกำหนด”
เห็นได้จากการแหกมติพรรคในกรณีร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 และล่าสุดก็คือ การเข้าไปช่วยเติม “องค์ประชุม” ให้กับรัฐบาล
และคว่ำญัตติด่วนจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญอันเกี่ยวกับ “มาตรา 44”
และขณะที่ กกต.เริ่มรุกในคดีเงินกู้ประสานเข้ากับการขยายผลจากคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อสมาชิกแห่ง ส.ส.ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
การต่อสายไปยัง ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ก็เกิดขึ้น
การปล่อยข่าว “ปรับ ครม.” โดยการจัดสรรใหม่แต่ละเก้าอี้รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย คือการสร้าง “ความหวัง”
เหมือนเป็นการอ่อยเหยื่อต่อ “ปลา อนาคตใหม่” ให้ฮุบ
จินตนาการของพรรคพลังประชารัฐก็คือ พลันที่มีการยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหาร สภาวะที่จะตามมาก็คือ
“ผึ้งแตกรัง”
เหมือนที่เคยแตกรังมาแล้วในการยุบพรรคไทยรักไทย ก่อให้เกิดพรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย และการแยกตัวออกมาของพรรคชาติพัฒนา
เมื่อยุบพรรคพลังประชาชนก็เกิดพรรคภูมิใจไทย
แม้จะเป็นมุขเก่าที่เคยใช้มาแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 กับพรรคไทยรักไทย เคยกระทำมาแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 กับพรรคพลังประชาชน
แต่ก็มั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่แน่นอน
การตัดสินใจดับเครื่องชนของพรรคอนาคตใหม่ จึงไม่เพียงแต่ 1 มาจากการสรุปบทเรียนในกรณีของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน หากแต่ 1 มาจากกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
เหมือนกับจะมา “ช้า” แต่ก็ยัง “ไม่สาย” จนเกินไป
พรรคอนาคตใหม่ อาจจะประเมินแล้วว่าที่จะแตกแถวไปจริงน่าจะอยู่ที่ประมาณ 4-5 แต่ที่เหนียวแน่นและมั่นคงน่าจะตรึงอยู่ที่ 79-80
คำถามจึงมิได้อยู่ที่ว่า 1 เป็นจริงแค่ไหน
หากแต่คำถามที่สำคัญมากกว่านั้น 1 ก็คือ จำนวน 79-80 คนนี้จะยังผนึกพลังอย่างเหนียวแน่นและมั่นคงเพียงใด
และอยู่ในร่มธงอันแข็งแกร่งของพรรคการเมืองใด