เหตุเกิดที่วัดพระแท่นดงรัง : โดย ทวี ผลสมภพ

วิหารพระแท่น วัดพระแท่นดงรัง ต.พระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี (ภาพจากโดรนมติชนทีวี)

วัดพระแท่นดงรัง เป็นวัดใหญ่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งอยู่ที่อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี มีปูชนียสถานที่สำคัญ คือมีการสร้างพระแท่นสมมุติเป็นพระแท่นปรินิพพาน มหาชนทั่วประเทศรู้จัก เพราะมีการทำพิธีสักการบูชาทุกปีนับแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา เป็นโบราณสถานที่ยังกำหนดไม่ได้ว่า ใครสร้าง และสร้างมาแต่ยุคไหน

เมื่อผู้เขียนได้พบรอยพระพุทธบาทที่เขาวงพระจันทร์ลพบุรี และมั่นใจว่ารอยพระพุทธบาทที่เขาวงพระจันทร์ ลพบุรี เป็นองค์จริง ตามที่ผู้เขียนได้เขียนบทความเปิดเผยที่ชื่อ มงคลเมือง ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันที่ผ่านมา การได้พบว่าพระพุทธองค์เสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่เขาวงพระจันทร์ อีกทั้งการได้รอยพระพุทธบาทที่เขาวงพระจันทร์นั้น เป็นเพราะพระพุทธเจ้าตรัสกับพระสัจพันธ์ ให้อยู่สอนศิษย์ในถิ่นนี้ต่อไป นั่นคือให้อยู่ประกาศคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อไปนั่นเอง

แต่ในประวัติรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี แม้จะมีข้อความที่แสดงถึงความประสงค์ที่ทรงให้พระสัจพันธ์อยู่สอนศิษย์ที่ท่านสอนไว้ผิดก็จริง แล้วก็มีแค่นั้น มิได้กล่าวบทบาทของท่านต่อไปอีกเลย ประวัติรอยพระพุทธบาทที่ลพบุรีก็เช่นกัน มิได้กล่าวการเผยแผ่คำสอนของท่านอีกเลย เป็นไปได้อย่างไรที่ชีวิตของท่านจะหดหายไปเฉยๆ

การที่ประวัติรอยพระพุทธบาททั้ง สระบุรีและลพบุรี ไม่กล่าวถึงพระสัจพันธ์อีกเลยนั้น เป็นการตัดตอนประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศไทยให้ขาดหายไป ผู้เขียนจึงขอยกหลักฐานเกี่ยวกับพระสัจพันธ์ ที่พระอรหันต์ 500 องค์ที่ท่านทำสังคายนาเมื่อครั้งที่หนึ่ง ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อรรถกถา ชื่อปปัญจสูทนนี อันเป็นอรรถกถา พระไตรปิฎกชื่อ มัชฌิมนิกาย มาให้ดูเป็นหลักฐาน แต่เพื่อดูอย่างสะดวก จึงขออ้างหลักฐานปัจจุบัน ที่มีพิมพ์เผยแพร่แล้ว คือ อรรถกถา ปุณโณวาทสูตร ในพระไตรปิฎกแปลเป็นไทยชื่อ พระสูตรและอรรถกถา เล่ม 23 หน้า 449 ว่า

Advertisement

“มหาชนถูกเธอทำให้จมลงในอบาย เธอต้องอยู่ในที่นี้แหละ แก้ลัทธิของพวกคนเหล่านั้นเสีย แล้วให้พวกเขาดำรงอยู่ในทางนิพพาน” ขอย้ำให้ผู้อ่านที่เป็นคนไทยใส่ใจว่า พระพุทธพจน์ดังกล่าวนั้น พระพุทธเจ้าตรัสที่เมืองลพบุรี ประเทศไทยในปัจจุบัน และตรัสในขณะที่พระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ จากนั้นประวัติของพระสัจพันธ์ก็ไม่มีอีกเลย ถามว่าท่านต้องมีชีวิตอยู่อีกไหม แน่นอน! ท่านต้องมีชีวิตอยู่อีก ท่านต้องเป็นผู้นำชาวพุทธ ในถิ่นอันเป็นภาคกลางของประเทศไทยอย่างชนิดที่ปฏิเสธไม่ได้ แล้วเหตุไฉนใย จึงไม่มีการกล่าวถึงท่านอีกเลยเล่า!

พระพุทธดำรัสที่ว่า มหาชนถูกเธอสอนให้จมลงไปในอบาย แสดงถึงว่าพระสัจพันธ์นั้นท่านมีลูกศิษย์อยู่มาก ถามต่อไปว่า ลูกศิษย์ของท่านเป็นใคร ตอบได้เลยว่าต้องเป็นโอรสกษัตริย์ เป็นราชบุตร ของเจ้าเมืองต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียง เหมือนพ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนงำเมือง และพ่อขุนเม็งราย เคยเป็นศิษย์ของสุกทันตฤษี ที่ถ้ำเขาสมอคอ ลพบุรีฉะนั้น แต่เหตุการณ์ของพ่อขุนทั้งสามเกิดขึ้น เมื่อพุทธศตวรรษที่ 17 สำหรับพระสัจพันธ์ท่านสอนศิษย์ในสมัยพุทธกาลเลย สมัยนั้น คนไทยยังไม่มาในถิ่นนี้ ดังนั้น คนพื้นเมืองในถิ่นนี้ ในขณะนั้นคือ ชนชาติมอญที่มีหลักฐานเด่นชัด คือ ลพบุรีเป็นชนชาติมอญ หริภุญไชย เป็นมอญ นครปฐมคือทวารวดี เป็นมอญ ราชบุรี เป็นมอญ ทุกวันนี้ราชบุรียังเป็นถิ่นมอญอยู่

คำว่ามอญมิใช่มอญที่อพยพมาจากพม่า แต่เป็นมอญเจ้าของถิ่น เพราะมอญได้ครองพื้นที่จากอินเดีย จนถึง ประเทศลาว ตามประวัติที่ลาวกล่าวไว้

Advertisement

ผู้เขียนจึงขอเล่าประวัติของท่านด้วยการสันนิษฐานดังต่อไปนี้ หลังจากท่านได้รับคำสั่งให้แก้ลัทธิที่ท่านสอนผิดไว้จากพระพุทธเจ้าแล้ว ช่วงนี้เท่ากับว่าท่านเป็นผู้นำชาวพุทธในยุคนั้นแล้ว ท่านจึงสอนลูกศิษย์ของท่านที่ท่านสอนเรื่องเวทมนตร์คาถาไว้ ให้หันมาถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ชนชาติมอญในถิ่นลพบุรี นครปฐม และราชบุรี เป็นต้น จึงหันมานับถือพระพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระสัจพันธ์เถระ ท่านคงพาชาวมอญไปเฝ้าในศาลวโนทยาน ที่เมืองกุสินาราด้วย และในสถานที่ปรินิพพานนั้น พระอานนท์เถระ ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ถ้าพระพุทธองค์ยังมีพระชนม์อยู่ บรรดาพระสงฆ์ที่บวชตามพระพุทธเจ้า จะพากันมาเฝ้าพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดาสงฆ์สาวกทั้งหลายก็จะได้พบกัน แต่เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว สงฆ์สาวกของพระองค์คงจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก

พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับคณะสงฆ์ในที่ประชุมนั้นว่า “ดูก่อนอานนท์ สถานที่ตถาคต ประสูติ ตรัสรู้ สถานที่แสดงธรรมจักร และสถานที่ปรินิพพาน พุทธบริษัทควรมาดู เพื่อให้เกิดธรรมสังเวช” พระพุทธดำรัสนี้ทรงมุ่งว่า เมื่อบรรดาพระสงฆ์สาวกมีจุดมุ่งที่จะมาทำความเคารพกราบไหว้ในสถานที่ทั้งสี่นี้แล้ว สงฆ์ทั้งหลายก็จะมีโอกาสได้พบกัน เหมือนกับที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์อยู่

ผู้เขียนสันนิษฐานว่า พระสัจพันธ์เถระได้ฟังพระพุทธพจน์ดังกล่าวนั้นแล้ว ท่านคงประทับใจและสร้างความหวังว่าจะต้องไปสร้างสังเวชนียสถานสมมุติขึ้นในท้องถิ่นภาคกลางของประเทศไทยอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อท่านกลับมา เมืองกัมโพช คือลพบุรี ท่านจึงชักชวนลูกศิษย์ของท่าน ที่เป็นเจ้าเมืองอยู่ในบริเวณภาคกลางของประเทศไทยนี้ จัดการสร้างสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร และที่ปรินิพพาน แล้วนั่นคือ สถานสังเวชนียสถาน ที่ปรากฏในเมืองไทย เช่น นครปฐม พระแท่นดงรัง พระแท่นศิลาอาสน์ และโบราณสถานดงละคร นครนายก เป็นต้น

สำหรับในที่นี้ จะได้กล่าวบทบาทของพระสัจพันธ์เถระ ที่ท่านได้สร้างสังเวชนียสถานที่เมืองราชบุรี ซึ่งโบราณสถานจุดนี้ นักประวัติศาสตร์ไทยเทศ ยังไม่พบว่าใครเป็นผู้สร้าง ผู้เขียนมั่นใจว่าพระสัจพันธ์เถระท่านเป็นผู้สร้าง สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร และที่ปรินิพพาน ณ เมืองราชบุรีนี้

ถามว่ามีเหตุผลใดที่สันนิษฐานว่า พระสัจพันธ์ท่านไปสร้างสังเวชนียสถานทั้ง 4 ที่ราชบรี

ขอตอบว่า หนึ่งพระสัจพันธ์เถระท่านเป็นมอญ อีกทั้งผู้เขียนมั่นใจว่า ในสมัยที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาเมืองลพบุรีเพื่อโปรดพระสัจพันธ์นั้น ในถิ่นดังกล่าวนี้เป็นอาณาจักรมอญแน่นนอน ประกอบกับปัจจุบันนี้ เมืองราชบุรี เป็นเมืองที่มีชนชาติมอญอยู่เป็นจำนวนมาก สอง ผู้เขียนเชื่อว่าท่านวางแผนสร้างสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ไว้ตั้งแต่ได้ฟังเรื่องสังเวชนียสถานในที่ปรินิพพาน เมื่อท่านเดินทางกลับมาลพบุรี ท่านจึงวางแผนขอเมล็ดพันธุ์ต้นรังมาจากอินเดีย เพื่อจะปลูกป่ารังให้เป็นสถานที่ปรินิพพาน ให้เหมือนกับป่ารังที่เมืองกุสินารา เพราะปรากฏว่าที่ดินของวัดพระแท่นดงรังมีมากถึง 5,000 ไร่ แต่ทุกวันนี้มีเหลือ 1,344 ไร่ ทั้งเนื้อที่หนึ่งพันกว่าไร่นั้น เต็มไปด้วยต้นรังเป็นส่วนใหญ่ ถ้าท่านไม่ขอมาจากอินเดียแล้ว ท่านเอาพันธุ์มาจากไหนมากมายขนาดนั้น

การที่มีการสร้างป่ารังขนาด 5,000 ไร่ได้ งานนี้ผู้ทำจะต้องเป็นพระราชาแน่นอน พระราชาเมืองไหนล่ะ! จะเป็นพระราชาเมืองไหนไม่ได้หรอก นอกจากพระราชาเมืองราชบุรี เมืองราชบุรีก็คือเมืองของพญากง ผู้เขียนขออ้างหลักฐานในศิลาจารึก ที่พบที่ปราสาทพระขรรค์ ในกัมพูชา ในสมัยพระเจ้าวรมันที่ 7 ได้กล่าวถึงเมืองในภาคกลางของไทย 6 เมือง

ใน 6 เมืองนั้น มีเมืองที่เหลือให้เห็นในปัจจุบัน 2 เมือง คือ ลโวทยะปุระ และ ชยราชปุระ เมืองแรกคือ ลพบุรี เมืองที่ 2 คือ เมืองราชบุรี และขออ้างพงศาวดารเหนือได้กล่าวไว้ว่า เมื่อพญาพานได้สร้างพระเจดีย์เท่านกเขาเหินที่นครปฐมแล้ว ท่านได้ไปบูรณะสถานที่ประสูติที่เมืองโกสินนาราย คือเมืองกุสินารา ราชบุรีนั่นเอง และเข้าใจว่าที่ประสูติที่พญาพานไปบูรณะดังกล่าวนี้ น่าจะเป็นสระน้ำที่ยังเห็นได้ในปัจจุบัน ที่มีป้ายบอกว่า สระโกสินนาราย อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ในขณะนี้นั่นเอง

การอ้างหลักฐานตรงนี้ เพื่อยืนยันว่าเมืองราชบุรี เป็นเมืองมีบารมีมาตั้งแต่ปลายสมัยพุทธกาล “สมัยชัยวรมันที่ 7 หรือพุทธศตวรรษที่ 18” สมัยทวารวดี ผังการสร้างสังเวชนียสถานของพระสัจพันธ์

ผู้เขียนขอสันนิษฐานว่า ท่านวางแผน สร้างเมืองกุสินารา แล้วสร้างศาลวโนทยาน หรือป่ารังอันเป็นสถานที่ปรินิพพาน เป็นหลัก จากนั้นท่านก็กระจายสร้างสถานที่ประสูติไว้จุดหนึ่ง แล้วสร้างสถานที่ตรัสรู้ไว้จุดหนึ่ง แล้วสร้างสถานที่แสดงธรรมจักรไว้จุดหนึ่ง ซึ่งเป็นระยะทางห่างกันมาก ในสมัยโบราณ ทั้งสามจุดอยู่ในเมืองราชบุรีทั้งหมด แต่ทุกวันนี้ได้เปลี่ยนไป คือ พระแท่นปรินิพพานคือพระแท่นดงรัง อยู่ในเขต ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี

ส่วนโบราณสถานพงตึก น่าจะเป็นสถานที่ตรัสรู้ และสถานที่แสดงธรรมจักร อยู่ที่ ตำบลพงตึก อำเภอท่ามะกา เมืองกาญจนบุรี ส่วนโกสินนาราย น่าจะเป็นสถานที่ประสูติ อยู่ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ขอให้ทราบว่า คำว่าโกสินนาราย ก็คือเมืองกุสินารานั่นเอง

เพราะเหตุที่พระสัจพันธ์เถระ ท่านสอนเวทมนตร์ให้ศิษย์ในถิ่นนี้ไว้มาก พระพุทธเจ้าจึงให้ท่านอยู่ที่เมืองลพบุรี เพื่อสอนศิษย์ที่สอนผิดไว้ ท่านจึงได้รอยพระพุทธบาทไว้ให้ชาวพุทธบูชาที่ลพบุรี การที่ท่านสอนศิษย์ที่เป็นพระราชาครองอยู่ที่เมืองราชบุรี ให้ละทิ้งวิชาเวทมนตร์ ปฏิบัติตนเป็นอุบาสก ผู้เขียนจึงสันนิษฐานว่าพระราชาเมืองราชบุรีนี่เอง ได้สร้างสังเวชนียสถานทั้ง 4 และสร้างวัดพระแท่นดงรัง เมื่อสร้างป่ารังและวัดแล้ว พระสัจพันธ์เถระคงแนะนำให้กล่าวคำถวายอารามแก่พระสงฆ์ เหมือนพระเจ้าพิมพิสาร ถวายพระเวฬุวัน ผู้เขียนจึงมั่นใจว่า นี่เป็นวัดมอญวัดแรกที่ศิษย์ของท่านสร้างถวาย

หลักฐานที่ยืนยันว่า พระสัจพันธ์ท่านให้ศิษย์สร้าง ก็คือ เมล็ดพันธุ์ต้นรังที่ท่านนำมาจากอินเดีย เพราะถ้าท่านไม่นำเมล็ดต้นรังมาจากอินเดียแล้ว ท่านจะเอาเมล็ดพันธุ์ที่ไหนมาปลูกเป็นร้อยต้นพันต้น อนึ่ง ดอกและผลของต้นรังที่วัดพระแท่นดงรังนั้น เหมือนดอกผลของต้นรังหรือ สาละของอินเดีย กล่าวคือ เมื่อเริ่มผลิดอก ดอกรังจะเป็นสีเหลือง ต่อจากนั้น ดอกจะเป็นสีขาว ส่วนเมื่อผลแก่จะเป็นสีแดง ลักษณะอย่างนี้เป็นรังอินเดีย เพราะมั่นใจว่าพระสัจพันธ์ท่านสร้างวัดพระแท่นดงรังแน่ จึงตัดสินใจนำภาพรอยพระพุทธบาทที่ลพบุรี และเอกสารการค้นพบรอยพระพุทธบาทองค์จริงที่ลพบุรี มาถวายพระราชวิสุทธาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรัง เพื่อให้ท่านได้พิจารณา แต่การมาพบท่านในวันนั้น ได้ทำให้ผู้เขียนได้ทราบข่าวที่น่าตกใจ ทราบข่าวที่ทำให้ชาวพุทธสะเทือนใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

ข่าวที่น่าตกใจนั้นก็คือ เมื่อปี พ.ศ.24884 รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศที่ป่าวัดพระแท่นดงรัง เป็นเขตป่าคุ้มครอง ต่อมาในปี พ.ศ.2517 กระทรวงเกษตรฯ ได้ออกกฎกระทรวง ให้ป่าวัดพระแท่นดงรัง เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ต่อมาในวันที่ 28 ตุลาคม 2525 กรมป่าไม้ได้ประกาศให้ป่าวัดพระแท่นดงรัง เป็นวนอุทยานแห่งชาติ ในการประกาศให้เป็นป่าคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกา ได้กำหนดให้วัดอยู่นอกเขตคุ้มครอง

แต่พอประกาศเป็นป่าสงวนฯ และเขตวนอุทยาน วัดพระแท่นดงรังต้องตกไปอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติ และอยู่ในเขตวนอุทยานด้วย

ที่น่าตกใจก็คือ ทำไมทางการจึงมายึดที่ธรณีสงฆ์ มาเป็นที่ของทางราชการ ขอให้ดูเอกสารข้างบน ได้ยกราชกิจจานุเบกษามาเป็นหลักฐานด้วยแล้ว ตามพระวินัย ที่ดินที่ชาวบ้านถวายแก่สงฆ์ สงฆ์ไม่สามารถนำไปให้ใครได้ หรือจะใช้อำนาจพลการให้ไป ก็ไม่เป็นการให้ ที่นั้นยังเป็นของสงฆ์อยู่นั่นเอง ยกเว้นแต่แลกเปลี่ยนในราคาเสมอกันเท่านั้น จึงทำได้ ข้าราชการที่บังอาจยึดที่ของสงฆ์ไม่กลัวบาปหรือ

เมื่อข่าวนี้ออกไปขอให้ทางการช่วยชี้แจงให้ชาวพุทธทั้งประเทศทราบด้วยว่า เพราะเหตุใดจึงทำเช่นนั้น โปรดอย่าคิดว่าเมื่อรัฐยึดมาแล้วจะเป็นของรัฐนะ! เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า แผ่นดินที่ชาวบ้านถวายสงฆ์แล้ว ไม่มีใครยกให้ใครได้ สงฆ์ที่ไม่รู้เรื่องจะยกให้ใครไป ที่นั้นก็หาเป็นของผู้นั้นไม่ ก็ยังเป็นที่สงฆ์อยู่นั่นเอง แม้แผ่นดินจะอยู่อำนาจของผู้นั้น แต่วิบากกรรมก็คือลักของสงฆ์นั่นเอง พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบวิบากกรรมของหมู่สัตว์

ทางวัดรู้สึกอึดอัดใจมาก จะฟ้องก็ไม่มีเงินไปจ้างทนาย ผู้เขียนเห็นว่า อำนาจรัฐได้สร้างอธรรมให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง โดยการใช้อำนาจรัฐเข้าไปยึดที่ธรณีสงฆ์มาเป็นของรัฐ ในฐานะชาวพุทธคงนิ่งไม่ได้แล้ว จึงขอเชิญชวนชาวพุทธที่อ่านเรื่องนี้แล้วจงช่วยกันหาทางช่วยวัด ให้ได้ที่ธรณีสงฆ์ กลับมาเป็นของวัดตามเดิม

ผู้สนใจเรื่องนี้และอยากช่วยวัด ขอให้โทรไปที่อาจารย์ สนม ศรศิลป์ชัย ผู้เป็นไวยาวัจกรของวัดที่เบอร์ 08-1665-9498 กิจกรรมที่น่าจะช่วยวัดได้ น่าจะร่วมกันหารือ หาทนายหรือหาเงินมาจ้างทนาย เพื่อการนี้ต่อไป

ทวี ผลสมภพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image