ขึ้นต้นหัวข้อเรื่องน่าพิศวงงงงวยดีเหลือเกินเนาะ พ่ออะไรจะเป็นน้องชายของลูกสาว ลำดับญาติกันแบบไหน ท่านผู้อ่านคงถามอย่างนี้ ผมไม่เฉลยละครับ นำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังซะเลย
ท่านที่ศึกษาพระพุทธศาสนามาบ้าง คงได้ยินชื่อคนสำคัญที่เป็นคฤหัสถ์สองท่านซึ่งมีบทบาทในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาอย่างดี ท่านแรกคืออนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านที่สองคือนางวิสาขามหาอุบาสิกา
อนาถบิณฑิกเศรษฐี นามเดิมว่าสุทัตตะ เป็นนายแบงก์ที่ร่ำรวย ครั้งหนึ่งเดินทางไปทำธุรกิจที่เมืองราชคฤห์ จากเมืองสาวัตถี บ้านเกิดเมืองนอน ได้พบพระพุทธเจ้าและพระศาสนา กราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จมาโปรดเมืองสาวัตถี พระองค์ทรงรับอาราธนา
อนาถบิณฑิกเศรษฐีซื้อสวนของเจ้าเชตด้วยราคาแพงลิบลิ่ว เพื่อสร้างถวายพระพุทธองค์ แพงอย่างไรหรือครับ เจ้าเชตบอกว่าให้เอาเหรียญกหาปณะ (กษาปณ์) มาปูเต็มพื้นที่นั่นแหละ คือราคาของสวนละ เศรษฐีแกก็ใจถึง ให้ขนเงินออกมาปูได้ครึ่งสวน เจ้าเชตเห็นความจริงเช่นนั้นจึงร้องบอกว่า พอแล้วๆ เอาแค่นี้แหละ ที่เหลือขอให้ผมได้เป็นเจ้าภาพด้วย
ทั้งสองจึงช่วยกันสร้างวัดสำเร็จ ได้ตั้งชื่อว่า “พระเชตวัน” ตามนามของเจ้าของสวนเดิม พระพุทธองค์ก็เสด็จมาโปรดชาวเมืองสาวัตถี และส่วนมาก็จะประทับอยู่ที่พระเชตวันแห่งนี้แหละครับ
เศรษฐีแกมีลูกสาวหลายคน ล้วนแต่ถือศีลฟังธรรมตามอย่างบิดา มีเพียงลูกชายคนเดียวเท่านั้น ตอนแรกๆ ไม่เอาถ่าน แต่เศรษฐีมีวิธีชักจูงลูกเข้าวัด โดยจ้างให้ไปฟังธรรมวันละหลายกหาปณะ ลูกไปวัดเพราะอยากได้เงิน แต่ไม่ฟังธรรม นานเข้าพ่อได้ขึ้นค่าไปวัดให้แพงขึ้น โดยวางเงื่อนไขว่าให้จำพระธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงมาบอกวันละบท ด้วยความโลภอยากได้เงิน ลูกชายก็ทำตาม
เมื่อฟังธรรมบ่อยๆ เข้าก็ค่อยๆ ซาบซึ้งในธรรมะทีละเล็กละน้อย ในที่สุดแกก็ปฏิเสธไม่เอาค่าจ้างจากพ่อ เข้าวัดฟังธรรมด้วยศรัทธาจริงๆ คุณพ่อคุณแม่จะเอาวิธีการของท่านเศรษฐีไปอบรมลูกบ้างก็ได้นะครับ
กล่าวถึงเศรษฐีผู้เป็นพ่อ เนื่องจากมัวแต่อุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ด้วยปัจจัยสี่ ไม่ค่อยได้มีเวลาฟังธรรมและตรึกตรองธรรมเท่าที่ควร มีความสงสัยอะไรก็ไม่กราบทูลถามพระพระพุทธองค์สักเท่าไหร่ เพราะท่านเศรษฐีเคารพรักในพระพุทธองค์มาก เกรงว่ารบกวน ถามอะไรมากๆ พระองค์จะทรงเหน็ดเหนื่อย (คือรักมาก ทะนุถนอมมาก ว่าอย่างนั้นเถิด) เศรษฐีจึงได้บรรลุธรรมเพียงชั้นต้นๆ คือเป็นพระโสดาบันเท่านั้น
ลูกสาวคนเล็กนามว่าสุมนา ป่วยหนักอาการน่าเป็นห่วง ท่ามกลางพ่อแม่และพี่น้องทั้งหลาย พ่อก็ละล่ำละลักถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างลูก”
“ไม่เป็นอะไรมากดอก น้องชาย” เสียงลูกสาวตอบเบาๆ
“นี่พ่อนะลูก ไม่ใช่น้อง จำพ่อไม่ได้หรือลูก” พ่อแย้ง
“จำได้น้องชาย” ลูกสาวยังยืนยันเช่นเดิม
จากนั้นไม่นานนางก็สิ้นลมอย่างสงบ เศรษฐีกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ถึงกับร้องไห้เสียงดังออกมา
วันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ยังอดร้องไห้ถึงลูกสาวไม่ได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า “อนาถบิณฑิกเอย สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีเกิดแล้วก็มีดับสลายไปเป็นธรรมดา สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้วล้วนมีความตายเป็นที่สุด ท่านจะเศร้าโศกไปไย ท่านก็เป็นถึงอริยบุคคลแล้ว”
ขอแทรกตรงนี้สักเล็กน้อย อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ฟังธรรม จากพระพุทธองค์ที่เมืองราชคฤห์ เมื่อครั้งพบพระองค์ครั้งแรกโน้นได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับต้นคือเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันนี้ยังคงมีความเศร้าโศกเสียใจเหมือนกับปุถุชนธรรมดาๆ เหมือนกัน
เศรษฐีกราบทูลว่า “ข้อนั้นข้าพระองค์รู้”
“รู้แล้วทำไมจึงไม่ระงับความเศร้าโศกเสียบ้าง” พระพุทธองค์ตรัสเตือน
“ข้าพระองค์เสียใจที่ลูกสาวของข้าพระองค์ตายในขณะที่จิตหลง ไม่มีความสงบ”
“รู้ได้อย่างไรว่าลูกสาวท่านตายจิตไม่สงบ”
“นางเพ้อเรียกข้าพระองค์ว่าน้องชายๆ ก่อนตาย พระเจ้าข้า”
“นางมิได้เพ้อดอก นางเรียกท่านเป็นน้องชาย ก็เพราะท่านเป็นน้องชายจริงๆ” พระพุทธองค์ตรัสแล้วให้อรรถาธิบายว่า “ลูกสาวของท่านก่อนตายได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับสกทาคามีแล้ว สูงกว่าท่านหนึ่งขั้น ถ้านับโดยระดับแห่งการบรรลุธรรม ท่านก็เป็น ‘น้อง’ นางหมายเอาเรื่องนี้ จึงกล่าวกับท่านอย่างนั้น”
เศรษฐีกราบทูลถามว่า “บัดนี้นางไปเกิดที่ไหน พระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นางไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว”
ได้ฟังดังนั้นเศรษฐีก็ปีติยินดีเป็นล้นพ้น ว่าลูกสาวของตนขณะยังมีชีวิตอยู่ก็อยู่ท่ามกลางญาติมิตรผุ้มีความสุขพรั่งพร้อมทุกอย่าง ตายไปแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตที่พรั่งพร้อมด้วยทิพยสมบัติ ท่ามกลางเหล่าเทพทั้งหลาย
พระพุทธองค์ตรัสเทศนาสั้นๆ เป็นคำประพันธ์ว่า
“ผู้ทำบุญไว้แล้ว ย่อมเพลิดเพลินในโลกนี้
ตายไปแล้ว ย่อมเพลิดเพลิน
เขานับว่าเพลิดเพลินทั้งในโลกนี้และปรโลก
เมื่อนึกถึงแต่คุณงามความดีที่ตนทำ ยิ่งเพลิดเพลินยิ่งขึ้น”
ครับ ทำดีไว้ไม่เสียหาย อยู่ก็สบาย ตายก็เป็นสุข