เศษกรรม โดย เสฐียรพงษ์​ วรรณปก

ในตำราทางพระพุทธศาสนารุ่นหลังมักพูดถึง “เศษกรรม” ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าหมายถึงอะไรกันแน่

ก่อนอื่นขอเรียนว่าตำราทางพระพุทธศาสนามีหลายรุ่น หลายระดับ มีความเก่าแก่และน่าเชื่อถือลดหลั่นลงไป ตำราระดับแรกหรือตำราที่เป็นปฐมภูมิคือ “พระไตรปิฎก” อันเป็นหลักของชาวพุทธ พระไตรปิฎกถือว่าเป็นพุทธพจน์โดยตรง (แม้จะมีบางส่วนที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสก็ให้ถือว่าเสมือนพระพุทธองค์ตรัส)

ตำราระดับรองลงมาเรียกว่า “อรรถกถา” อาจารย์รุ่นหลังท่านแต่งขึ้นเพื่ออธิบายพระไตรปิฎก

ตำราระดับที่สามคือ “ฎีกา” อันนี้มิได้หมายถึงฎีกาเรี่ยไรหรือศาลฎีกา แต่หมายถึงตำราที่แต่งอธิบายอรรถกถาอีกที

Advertisement

ตำราระดับที่สี่คือ “อนุฎีกา” เป็นตำราที่แต่งอธิบายฎีกาอีกทีถัดจากอนุฎีกาก็มี “เกจิอาจารย์” คำนี้เดิมหมายถึงความคิดเห็นของผู้รู้ที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับการอธิบายความในพระไตรปิฎก แต่ต่อมาไปยังไงมายังไงไม่ทราบ คำว่า “เกจิอาจารย์” (เรียกสั้นๆ ว่า “เกจิ”) กลายมาหมายถึงอาจารย์ขลังไปเสียฉิบ

ในตำราระดับอรรถกถาได้พูดในทำนองว่า คนเราเมื่อทำกรรมชั่วช้าลามก ตายไปแล้วไปเกิดในนรกชดใช้กรรมอยู่เป็นเวลานาน นานเท่าใดก็แล้วแต่ว่ากรรมที่ทำนั้นหนักมากน้อยแค่ไหนเพียงใด เมื่อชดใช้กรรมแล้ว ถ้ายังมี “เศษกรรม” เหลืออยู่ก็จะได้รับผลของ “เศษกรรม” นั้น

ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ เวลาชดใช้กรรมอยู่ในนรกหรือในภพเปรตอสุรกายอะไรอยู่นั้น น่าจะ “ชำระ” เสียให้หมด ไม่ควรเหลือเศษไว้ให้ชดใช้ต่อไปเลย หรือว่ามันหารไม่ลงตัวก็ไม่รู้สิครับ!

เศษกรรมที่ว่านี้มักจะสนองผลเอาตอนที่คนคนนั้นมาเกิดในชาติหลังๆ พอตอนกำลังจะไปดีดุจใบเรือกำลังต้องลมแล่นฉิว ก็มักจะมาสะดุดเพราะเศษกรรมที่ว่านี้

ดังกรณีพระโมคคัลลานะ ตำราท่านว่า ท่านโมคคัลลานะในชาติก่อนโน้นได้ทำผิดมหันต์ ฆ่าบิดามารดาผู้ตาบอดเพราะแรงยุของเมีย ตายไปตกนรกหมกไหม้เป็นเวลานาน ชดใช้กรรมหมดแล้ว มาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะออกบวชเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า วันดีคืนดีก็ถูกพวกโจรล้อมกุฏิหวังฆ่าให้ตายตามที่ตนได้รับว่าจ้างมา แต่ท่านก็เหาะหนีภัยไปได้ เพราะท่านมีฤทธิ์มาก แต่ครั้งสุดท้านท่านพิจารณาเห็นว่าเศษกรรมท่านยังเหลืออยู่ จึงไม่เหาะหนีไปเหมือนครั้งก่อน จึงถูกพวกโจรทุบแหลกคามือ

ท่านจึงมีอายุสั้น ไม่ทันได้ช่วยพระพุทธองค์เผยแผ่ศาสนาให้กว้างขวางเท่าที่ควรก็มาด่วนจากไป

อย่างนี้ท่านผู้แต่งตำราอรรถกถาก็บอกว่า เพราะเศษกรรมเก่ายังเหลืออยู่มาตามสนอง

มีอีกเรื่องหนึ่งขอเล่าให้ฟัง (ถ้าท่านได้ทราบแล้วก็ไม่เป็นไรเล่าอีกได้เพราะอยากเล่า) หลังจากท่านองคุลิมาล อดีตจอมโจรผู้กระเดื่องนามได้สำนึกบาป ทูลขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์แล้ว ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

เวลาท่านไปบิณฑบาตที่ไหน คนที่เขาจำได้ว่าท่านเป็นอดีตขุนโจรก็พากันวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว ข้าวปลาก็เลยไม่ได้กิน เพราะไม่มีใครกล้าใส่บาตร บางคนใจกล้าหน่อยก็แอบๆ มาข้างหลัง ขณะท่านเดินบิณฑบาตด้วยอาการสำรวม เอาก้อนอิฐบ้าง ท่อนไม้บ้าง ขว้างท่านจนท่านศีรษะแตกเลือดไหล เดินกลับวัดด้วยอาการบอบช้ำทุกวัน

พระสงฆ์อื่นๆ ก็สงสารท่าน ไม่กล้าออกบิณฑบาตร่วมกับท่านกลัวถูกลูกหลงว่าอย่างนั้นเถอะ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบเรื่องก็ตรัสปลอบโยนท่านว่า “องคุลิมาล นี่เป็นเศษกรรมที่เธอทำไว้ยังเหลืออยู่ ขอให้อดทน”

ที่ผมสงสัยก็คือ เมื่อกรรมหนักที่ท่านองคุลิมาลทำไว้ถูกยกเลิก (ทางพระเรียกว่าอโหสิกรรม) เพราะท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ทำไมไม่ยกเลิกหมด ยังเหลือเศษนิดเศษน้อยมาตามสนองให้ศีรษะแตกเลือดอาบอยู่อย่างนี้

ยังไม่มีใครกำจัดความสงสัยตรงนี้ของผมได้ ผมก็ขอเก็บความสงสัยนี้ต่อไปจนกว่าจะ “กระจ่าง” ในที่สุด ในขณะนี้ก็เชื่อตามท่านไปก่อน

มีเกร็ดเกี่ยวกับท่านองคุลิมาลเล็กน้อย วันหนึ่งมีหญิงตั้งครรภ์แก่คนหนึ่งมาใส่บาตร พอเงยหน้าขึ้นเห็นท่านชัดๆ ก็จำได้ว่าเป็นอดีตองคุลิมาลโจร ตกใจ ทิ้งขันข้าว วิ่งหนีสุดฤทธิ์ เพราะครรภ์แก่จึงวิ่งอุ้ยอ้ายๆ ล้มลงดิ้นครวญครางอยู่ตรงนั้น

พระองคุลิมาลท่านเดินไปใกล้ๆ กล่าวอย่างสงบว่า “ตั้งแต่อาตมาเกิดใหม่ในเพศบรรพชิตอันอริยะนี้ ไม่เคยคิดเบียดเบียนใครแม้แต่น้อย ด้วยสัจวาจานี้ ขอให้บุตรในครรภ์ของท่านจงปลอดภัย”

พอท่านกล่าวจบ หญิงคนนั้นก็คลอดลูกชายอย่างง่ายดายปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก ตั้งแต่นั้นคนก็เลยเลิกกลัวท่าน ถือว่าท่านเป็นอาจารย์ขลัง มีมนต์ทำให้คนคลอดง่าย มาหาท่านขอให้ท่านสวดมนต์อวยพรให้คลอดบุตรง่าย

ถ้าพูดแบบสมัยนี้ก็ว่า ท่านเป็นอาจารย์ขลังที่ญาติโยมไปมาหาสู่เพื่อขอพรหัวกะไดกุฏิไม่แห้ง ว่าอย่างนั้นเถอะ

มนต์บทนี้เรียกว่าอังคุลิมาลปริตร มีเนื้อหาสั้นๆ ดังกล่าวมาเวลาพระสงฆ์รับนิมนต์ไปสวดมนต์ในงานทำบุญต่างๆ พระสงฆ์ท่านจะสวดอังคุลิมาลปริตรนี้ด้วยทุกครั้ง เพื่อเป็นสิริมงคลรวมกับเรื่องอื่นๆ

แต่ก็เห็นมีผู้นำเอาไปใช้เฉพาะกิจเลย คือคนที่มีครรภ์ปรารถนาจะให้คลอดง่าย ก็จะให้พระสงฆ์ท่าน “เสก” มนต์บทนี้ทำน้ำมนต์แล้วก็เอาไปกินไปอาบ เรื่องอย่างนี้ก็ประหลาด ผู้ที่ได้ไปก็มักจะคลอดง่ายและปลอดภัยจริงทุกราย

สมัยเมื่อภรรยา (คือเมียนั่นแหละ) ผมตั้งท้อง หมอบอกว่าต้องผ่าออกเพราะเชิงกรานเธอไม่ขยาย หมอว่าอย่างนั้น ผมนึกถึงหลวงพ่อองคุลิมาลขึ้นมา จึงสวดอังคุลิมาลปริตรทำน้ำมนต์ใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้ (ที่ใส่ขวดก็เพราะกลัวเธอจะรู้ว่าเราทำน้ำมนต์ เดี๋ยวไม่กิน หาว่าทำน้ำมนต์แช่งชักหักกระดูก จะไปกันใหญ่) เธอก็เปิดตู้เย็นดื่มน้ำขวดนั้นทุกวันจนหมด

พอถึงเวลาคลอดจริง หมอเตรียมผ่าตัดเก้อไปตามๆ กัน เพราะที่คาดว่าเธอจะคลอดลูกยากกลับคลอดได้สบายๆ อย่างนี้ ผมก็เชื่อว่าเพราะน้ำมนต์ของหลวงพ่อองคุลิมาลที่ผมเสกให้เธอกินนั้นเอง

ลูกคนนี้ผมเลยตั้งชื่อว่า “สกข์” เพราะผมเป็นคน “เสก” มาเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image