จิตวิวัฒน์ : ความเจ็บปวด vs. ความทุกข์ : โดย ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย

ลองจินตนาการว่าคุณจองตั๋วเครื่องบินเพื่อที่จะไปเที่ยวบาหลีหรือมัลดีฟส์ แต่พอเครื่องบินลงจอด กัปตันประกาศว่าขอต้อนรับสู่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีเงื่อนไขคือคุณจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีก 10 ปี คุณจะทำอย่างไร? คุณอาจจะถามว่ามันมีเหตุผลอะไรที่คุณจะต้องอยู่จังหวัดบุรีรัมย์ ในเมื่อเพื่อนๆ ของคุณเขาต่างก็โพสต์ภาพเซลฟี่กับชายหาดบาหลีหรือมัลดีฟส์ลงโซเชียล แต่ด้วยเงื่อนไขอันแปลกประหลาด คุณกลับจะต้องติดอยู่ที่บุรีรัมย์โดยไปไหนไม่ได้อีกเป็นสิบปี

เรื่องราวข้างต้นผมดัดแปลงมาจากข้อเขียนของนักเขียนชาวอเมริกัน เอมิลี เพิร์ล คิงส์ลี่ ซึ่งเขียนขึ้นในปี ค.ศ.1987 เธอเป็นคุณแม่ของเด็กดาวน์ซินโดรม และเขียนเรื่องนี้เพื่อเป็นข้อเตือนใจให้กับตัวเธอเอง ภายหลังได้รับการเผยแพร่ไปสู่วงกว้าง บทความดั้งเดิมใช้ชื่อว่า “ขอต้อนรับสู่ฮอลแลนด์” ซึ่งกล่าวเปรียบเทียบประสบการณ์การมีลูกซึ่งเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า เหมือนกับการจองตั๋วเครื่องบินเดินทางไปประเทศอิตาลี แต่ในท้ายที่สุดเครื่องบินกลับพาไปลงจอดในประเทศฮอลแลนด์ (หรือเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน) และแทนที่จะก่นด่าโชคชะตาหรือเฝ้าถามตัวเองทุกวันว่าทำไมจึงไม่ได้ไปอิตาลี หรือเฝ้าอิจฉาเพื่อนๆ ที่ได้ไปอิตาลี เธอแนะนำว่า ทำไมไม่ลองแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ฮอลแลนด์ซึ่งอาจจะมีอะไรดีๆ อยู่มากมายอย่างที่คิดไม่ถึงก็ได้

บทความหรือข้อเขียนของเอมิลีดูจะทรงพลัง จนกระทั่งพ่อแม่ของเด็กพิเศษหลายคนเอาคำว่า ฮอลแลนด์ไปตั้งเป็นชื่อหน้าลูกซึ่งเกิดมามีความต้องการพิเศษ ผมเองไม่ได้มีลูกอย่างใครเขา แต่ก็รู้จักคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวซึ่งมีลูกเป็นโรคอัลฟี่ซินโดรมซึ่งจัดเป็นโรคหายากที่ในประเทศไทยมีแค่ 5 รายเท่านั้น โรคนี้ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กอย่างมากทั้งทางสติปัญญาและทางร่างกาย เริ่มแรกคุณหมอบอกเขาว่า เด็กอาจจะอยู่ได้เพียง 2 ขวบ แต่ปัจจุบันน้องเซนเพิ่งฉลองวันเกิดครบ 7 ขวบไปเมื่อไม่นานมานี้ เริ่มแรกคุณพ่อบอกว่าท้อ (อาจจะเป็นเพราะเพิ่งรู้ว่าเครื่องบินลงจอดที่ฮอลแลนด์) แต่ต่อมาก็ปรับตัวและเรียนรู้ที่จะมีความสุขไปกับการสอนให้ลูกมีพัฒนาการอย่างดีที่สุดเท่าที่คุณพ่อคนหนึ่งจะให้ได้ ผมจึงคิดว่าใจความสำคัญของข้อเขียนนี้ สรุปได้ว่าเป็นการ “แสวงหาความสุขจากสิ่งที่เรามีอยู่”

นักจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่องความสุขบอกกับเราว่า ความสุขนั้นอยู่กับเราไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เช่น สมมุติว่าเราถูกรางวัลที่หนึ่งอย่างไม่คาดฝัน ความสุขที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้ก็จะจางหายไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน นั่นหมายถึงว่าต่อให้เราไขว่คว้าหาสิ่งที่เราคิดว่าจะให้ความสุขแก่เราและได้มันมา ความสุขนั้นก็จะอยู่ไม่นาน และเราต้องเริ่มต้นแสวงหาสิ่งใหม่มาให้ความสุขกับเราต่อไป แมนนี่บอกกับผมว่า ในโลกนี้คนเราจะเจออยู่แค่สองอย่างคือ “ชอบกับชัง” ถ้าเราได้สิ่งที่เราชอบเราก็มีความสุข ถ้าได้พบเจอกับสิ่งที่ชังเราก็จะพบกับความทุกข์ใจ

Advertisement

มีจิตแพทย์ท่านหนึ่งเตะเบาๆ เข้าที่เท้าของคนไข้ที่มารับคำปรึกษาซึ่งเธอเองก็เป็นจิตแพทย์เช่นกัน (บางทีเราอาจจะลืมไปแล้วว่าแม้แต่จิตแพทย์เองก็จะต้องหาคำปรึกษาจากจิตแพทย์ด้วยกันถ้าหากเจอกับปัญหาชีวิต) เธอร้อง “โอ๊ย!” ถามว่าเตะทำไม จิตแพทย์บอกว่า “ดูคุณชอบที่จะทำร้ายตัวเองด้วยการขุดคุ้ยเรื่องแฟนเก่ามาสร้างความทุกข์ใจให้คุณอย่างไม่สิ้นสุด ดังนั้น ดูเหมือนว่าคุณจะชอบความเจ็บปวด ผมก็เลยจัดให้คุณไง” ระหว่างที่เธอกำลังพิศวงในคำตอบ เขาก็กล่าวต่อไปว่า “ความเจ็บปวดกับความทุกข์มันเป็นคนละอย่างกันนะคุณ ในขณะที่คนเราเลือกความเจ็บปวดที่มันโถมเข้ามาหาเราไม่ได้ แต่เราเลือกได้นะว่าจะมีทุกข์กับมันมากน้อยแค่ไหน”

พูดง่ายๆ ก็คือ มันไม่มีประโยชน์ที่เราจะไปก่นด่าว่าสายการบินแห่งโชคชะตาได้พาชีวิตของเราไปผิดที่ผิดทาง แต่เราเลือกได้ว่าจะตอบสนองอย่างไรกับเรื่องราวที่เข้ามาในชีวิตของเรา

ความสมบูรณ์แบบเป็นปฏิปักษ์กับความดี

Advertisement

แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดว่าให้เราดมดอกไม้ในสวน ในระหว่างทางที่เรากำลังวิ่งมาราธอนเพื่อจะเข้าเส้นชัยในการแข่งขันที่เราเตรียมตัวมานานและคาดหวังว่าจะชนะ แต่พอผมเดินทางมาจนถึงขั้นนี้ ผมกลับรู้สึกว่าเรื่อง “เส้นชัย” เป็นนิทานที่พวกเราแต่งขึ้นมาเพื่อเอาไว้หลอกตัวเองและคนอื่น ถ้าพลิกความเข้าใจสักหน่อย “เส้นชัย” จะไม่ได้อยู่เป็นแนวขวางครับ แต่เป็นเส้นเดียวกับที่เรากำลังเดินทางไปนี่แหละ ถ้าพูดแบบเซนก็คือ มันไม่มีอะไรให้บรรลุ แต่มันอยู่ตรงหน้าเราเพียงแค่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่เห็นมัน หรือทำใจให้ยอมรับได้ว่านี่คือเส้นชัย นี่หรือคือ “อิตาลี”?

ความสมบูรณ์แบบเป็นเรื่องของความคิด และมีเฉพาะในโลกของแบบของเพลโตเท่านั้น ที่จะมีความสมบูรณ์แบบเช่นที่ว่า แต่ความดีเป็นเรื่องของใจ ดังคำติดปากวัยรุ่นว่า “ดีต่อใจ” ปัญหาคือเมื่อเราไปติดที่ความคิดเมื่อไร อะไรๆ มันก็ไม่ดีต่อใจเลย มนุษย์เราถูกสร้างให้เป็นเครื่องจักรแห่งความคิด อันที่จริงคำว่าคอมพิวเตอร์หรือสมองกลนั้น น่าจะนำมาใช้กับมนุษย์มากกว่า เพราะสมองมักมีความคิดแล่นไปอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้น ยังพยายาม “เล่นกล” กับเราโดยพยายามใช้ความคิดไปแก้ปัญหาดังจิตแพทย์หญิงที่เพิ่งเลิกกับแฟน ซึ่งเธอพยายามหาว่าเพราะเหตุใดในฐานะจิตแพทย์ เธอไม่เคยเห็นสัญญาณที่ส่งมาจากฝ่ายชายมาก่อนว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเธอเพราะเธอมีลูกติด และการที่ลูกติดของฝ่ายชายเพิ่งจากบ้านไปเพื่อเรียนมหาวิทยาลัย ฝ่ายชายรู้สึกว่าไม่อาจจะดูแลลูกของเธอไปอีกสิบปีก่อนที่ลูกชายของเธอจะเข้ามหาวิทยาลัย

และเขาใช้เวลานานมากกว่าจะแพร่งพรายเรื่องนี้ให้เธอรู้ ภายหลังที่เธอต้องพยายามไถ่ถามเขาอย่างหนัก

ชีวิตมักจะเล่นตลกกับเรา เปรียบเสมือนเครื่องบินที่บินลงผิดท่าอากาศยาน ผิดประเทศ และไม่ว่าจะเตรียมตัวอย่างไร เราก็ไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนให้ความสำคัญกับการฝึกฝนความสามารถที่จะรับรู้อยู่กับปัจจุบันตรงหน้าน้อยมาก ในหัวเราเต็มไปด้วยการวางแผน

มีคนไข้หญิงคนหนึ่งป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง และแพทย์บอกว่ามีเวลาอยู่ไม่เกินหนึ่งปี สิ่งแรกที่เธอสังเกตเห็นหลังจากพอทำใจยอมรับได้ในระดับหนึ่งแล้วก็คือ ผู้คนรอบข้างเธอจะพูดแต่เรื่องการวางแผน “ปีหน้า เราจะมีลูกอีกคน”, “เราวางแผนว่าจะซื้อบ้านใหม่อีกสองปีข้างหน้า”, “เราวางแผนจะแต่งกันเดือนธันวาคม สิ้นปีนี้” หรือ “ฉันวางแผนจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกปีหน้า และตอนนั้นคงคิดถึงลูกน่าดู”

เธอสังเกตเห็นว่าคนรอบข้างใช้เวลามากมายพูดถึงแผนการในอนาคต ในขณะที่เธอทำรายการสิ่งที่ต้องทำและไปทำตามนั้น เพราะรู้ว่าชีวิตของเธอกำลังจับเวลาถอยหลัง เธอเหลือเวลาไม่มากพอที่จะวางแผนและคาดหวังว่าทุกอย่างจะดำเนินไปแบบที่มันควรจะเป็น การที่เธอรู้ว่าเธอไม่อาจจะคิดถึงอนาคตได้อีกแล้ว ทำให้เธอไม่ประมาทที่จะใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

เรื่องตลกก็คือในที่สุดเธอเข้ารับการทดลองรับยาที่ยังอยู่ในขั้นพัฒนาและสามารถรักษาเนื้องอกของเธอให้หายขาดได้ จากนั้นเธอกลับมาวางแผนชีวิตในสองปี ห้าปีข้างหน้าอีกครั้ง…

หลายคนบอกว่าชีวิตเลือกได้? ผมกลับเห็นว่าชีวิตเลือกไม่ได้…เพราะคุณเลือกสิ่งที่จะเกิดกับตัวเองไม่ได้เสมอไป แต่คุณเลือกที่จะมีความสุขหรือทุกข์กับมันได้เสมอ

ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย
www.thaissf.org, twitter.com/jitwiwat
สนับสนุนโดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

หมายเหตุ: บางส่วนในบทความได้รับแรงบันดาลใจจาก Maybe You Should Talk to Someone โดย Lori Gottlieb

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image