ไม่จบแถมบานทะโรค โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

ไม่ว่าจะเอาใจช่วย

หรือแช่งชักหักกระดูกพรรคอนาคตใหม่

แต่ดูเหมือนสิ่ง “ร่วมกัน” ประการหนึ่งของทั้งสองฟาก

คือเห็นว่า ถึงจะรอดการยุบพรรคจากกรณี “อิลลูมินาติ”

Advertisement

แต่ก็ยังอยู่ในภาวะ “จบ ที่ไม่จบ” อยู่นั่นเอง

ยังต้องเผชิญอีก “หลายดาบ”

กรณี “อิลลูมินาติ” ก็ยังมีประเด็นคาอยู่

Advertisement

นั่นคือศาลรัฐธรรมนูญแนะให้พรรคอนาคตใหม่และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปแก้ข้อบังคับพรรค

ที่ระบุว่า “ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ”

ให้เปลี่ยนเป็น “ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

ด้วยอาจก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างคนในชาติ

ซึ่งต้องรอดูว่าพรรคอนาคตใหม่จะแก้ไขหรือไม่ และ กกต.จะมีท่าทีอย่างไร

รวมถึงฝ่ายที่จ้องยัดข้อหาชังชาติให้พรรคนี้ จะขยายปมนี้ซึ่งเป็นเสมือน “หอก” ที่ปักอยู่กลางหลังต่อไปอย่างไร

ล่าสุด นายณฐพร โตประยูร เจ้าเก่า ก็โผล่ไปร้องซ้ำที่ กกต.ให้ฟ้องพรรคอนาคตใหม่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง

โดยอ้างศาลรัฐธรรมนูญแนะไว้ในคำวินิจฉัย

กรณี “อิลลูมินาติ” จึงไม่จบ

เช่นเดียวกับที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมพวกที่ร่วมจัดแฟลชม็อบ เมื่อ 14 ธันวาคม 2562

ก็ถูกเพิ่มข้อหาชุมนุมสาธารณะในระยะไม่เกิน 150 เมตร จากพระราชฐานเข้าไปด้วย

ถือเป็นการเติมประเด็น “ละเอียดอ่อน” ให้ฝ่ายที่พยายามแขวนป้ายให้พรรคนี้เป็นพรรค “อันตราย” เข้าไปอีก

รวมถึงปมปัญหาเงินกู้นายธนาธรที่มาใช้ในการเลือกตั้ง 191 ล้าน ที่ฝ่ายตรงข้ามหวังจะเป็น “ดาบ” เล่มใหญ่ฟาดฟันให้ยุบพรรคให้ได้

ซึ่งฝ่ายพรรคอนาคตใหม่ก็ทราบและได้วางเกมสู้ “นิติวอร์” ทั้งในและนอกสภาเช่นกัน

ทำให้กลายเป็นหนังยาว ที่ทั้งฝ่ายต้านและฝ่ายหนุนเห็นตรงกันว่า

“ไม่จบ” ง่ายๆ แน่นอน

คงต้องติดตามกันต่อไป

ติดตามเช่นเดียวกับภาวะ จบ แต่ไม่จบ ในฟากรัฐบาลด้วย

ด้วยตอนแรก ใครๆ ก็คิดว่าภาวะปริ่มน้ำของพรรครัฐบาลคงจบแล้ว

เพราะชนะทั้งเลือกตั้งซ่อม ได้อดีต 4 สมาชิกพรรคอนาคตใหม่มาร่วม ได้กลุ่มพรรคการเมืองอิสระมาสวามิภักดิ์ และน่าจะติดตามมาด้วยเสียงส่วนใหญ่ในพรรคเศรษฐกิจใหม่อีก

เรื่องโหวตในสภาจึงน่าจะจบ ไม่ควรจะเป็นปัญหาบีบคั้นอีก

แต่ที่ไหนได้ เกิดมาโป๊ะแตกในเรื่อง “เสียบบัตร” แทนกันเสียนี่

แถมเป็นกรณีเสียบบัตรแทนกันในเรื่องสำคัญอย่าง พ.ร.บ.งบประมาณ พ.ศ.2563 ด้วย

สะเทือนไปทั้งสภา และรัฐบาล

แถมถ้ายังจัดการไม่ดี กระทบไปทุกหย่อมหญ้าทั่วประเทศแน่ เพราะเงินลงทุน เงินใช้จ่ายทั้งประจำและไม่ประจำ รวมถึงเงินฉุกเฉิน คงจะรวนไปทั้งระบบ

ตอนนี้ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน

แต่ทุกคนก็จับตาด้วยมีกรณีคล้ายคลึงกันนี้ คือการกู้เงินแก้ไขระบบน้ำ 2 ล้านล้าน เป็นมาตรฐานอยู่

ซึ่งหากยึดตามนั้น อาจจะทำให้คำวินิจฉัยไม่เป็นคุณต่อฝ่ายรัฐบาลนัก

เกิดเป็นดังกล่าวจริงก็คงยุ่ง จะหาทางจบอย่างไร

ไล่เบี้ยเอาผิดคนเสียบบัตรแทนกันก็คงว่ากันไป

ไล่เบี้ยพรรคร่วมที่แทงกันซึ่งหน้าก็คงว่ากันไป

แต่ที่อยากให้มองย้อนกลับไปไกลๆ นั่นก็คือการดีไซน์รัฐธรรมนูญ ที่ทำให้รัฐบาลเป็นรัฐบาล
ผสมหลายพรรค หรือ “เบี้ยหัวแตก” นั้น

ณ บัดนี้ก็เจอผลเสียเข้ากับตัวเองจังๆ คือนอกจากจะใช้ปาฏิหาริย์นับเสียงแบบประหลาด
มาเป็นรัฐบาลแล้ว

ยังต้องมานั่งกลุ้มเรื่องเสียงปริ่มน้ำ ที่หาทางแก้ทุกวิถีทาง

นึกว่าจะจบ ก็ไม่จบ

เจอบัตรเสียบ บานทะโรค เป็นริดสีดวงกำเริบ ทั้งสภาและทำเนียบ

โทษใครดี!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image