ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุกรี เจริญสุข |
เผยแพร่ |
ตีตราว่าเป็นหนี้
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2559 สภามหาวิทยาลัยมหิดล โดยนายกสภา (ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช) ได้สรุปว่า วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ เป็นหนี้รวมเงิน 41.04 ล้านบาท ซึ่งได้ยืมไปลงทุนก่อสร้างอาคาร จะต้องใช้หนี้ให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดลให้เสร็จเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ส่วนงานอื่นๆ ที่ยืมเงินและเป็นหนี้กับมหาวิทยาลัยมหิดล
อธิการบดี (ศ.นพ.อุดม คชินทร) ว่าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เร่งรัดให้วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ต้องใช้หนี้ให้เสร็จ โดยคณบดีไม่มีโอกาสเข้าไปชี้แจงต่อสภาแต่อย่างใด เมื่อได้รับทราบเอกสารแจ้งหนี้อย่างเป็นทางการ จึงได้แจ้งที่ประชุมกรรมการบริหารวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ เพื่อหาช่องทางที่จะชำระหนี้ให้เสร็จ โดยเห็นชอบที่จะจัดแสดงคอนเสิร์ต เพื่อหาเงินใช้หนี้ให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล ให้หมดก่อนที่คณบดีจะหมดวาระลงจากตำแหน่ง (19 กันยายน 2560) ซึ่งจะได้ไม่เป็นภาระแก่คนอื่นต่อไป
เหตุแห่งหนี้
มูลเหตุหนี้ เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ.2545 นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงการของบประมาณก่อสร้างอาคารของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ครั้งนั้น มหาวิทยาลัยมหิดลได้ทำหนังสือถึงสำนักงบประมาณ เพื่อของบก่อสร้างอาคารภูมิพลสังคีต ซึ่งผ่านความเห็นชอบคณะอนุกรรมการจัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติ สำนักนายกรัฐมนตรี และได้มีมติเห็นชอบโครงการก่อสร้างอาคารภูมิพลสังคีต เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 ปี
โครงการก่อสร้างอาคารภูมิพลสังคีตดังกล่าว มีผู้ที่รับผิดชอบคือ โครงการจัดตั้งวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ใช้เป็นหอแสดงดนตรีวงเงินก่อสร้าง 100 ล้านบาท โดยที่มีมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้ร่วมออกเงิน (20%) และรัฐบาลออกงบในส่วนที่เหลือ (80%) ซึ่งเป็นวิธีใหม่ของการให้งบประมาณก่อสร้างของสำนักงบประมาณ ถือเป็นต้นแบบปฏิบัติในเวลาต่อมา ที่มหาวิทยาลัยจะต้องออกเงินรายได้ร่วมสมทบ
งบประมาณก่อสร้าง (20%) อาคารภูมิพลสังคีต อธิการบดีสมัยนั้น (ศ.ดร.พรชัย มาตังคสมบัติ) เป็นผู้รับผิดชอบ บันทึกลงในบัญชีมหาวิทยาลัยมหิดลไว้ว่า โครงการจัดตั้งวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ เป็นหนี้ค่าก่อสร้างกับมหาวิทยาลัยมหิดล ต่อมาเมื่อวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ได้รับประกาศจัดตั้งเป็นส่วนงาน ในราชกิจจานุเบกษา (20 พฤศจิกายน 2552) ก็มีหนี้ส่วนนี้ติดตัวมาด้วย
ปี พ.ศ.2548 อธิการบดี (ศ.ดร.พรชัย มาตังคสมบัติ)อนุมัติให้เงินของมหาวิทยาลัยมหิดลอีก 15 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างซื้อเปียโนและอุปกรณ์ดนตรี โครงการสอนดนตรีสำหรับบุคคลทั่วไป ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ทำให้วิทยาลัยดุริยางคศิลป์มีหนี้เพิ่มขึ้นในบัญชีรวม 35 ล้านบาท ต่อมาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ขาดสภาพคล่องในการจัดการ ได้ขอยืมมหาวิทยาลัยมหิดลเพิ่มอีก 10 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 45 ล้านบาท ซึ่งได้พยายามใช้หนี้ไปบ้างแล้ว
คงเหลือเป็นหนี้ (41.04 ล้านบาท) อย่างที่เป็นอยู่
ยอมรับเป็นหนี้
เมื่อเปลี่ยนอธิการบดีมาในสมัยของ ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร (พ.ศ.2551) วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ก็ถูกเร่งรัดให้ใช้หนี้คืน แต่เนื่องจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ยังขาดสภาพคล่องอยู่ ได้พยายามจ่ายคืนแล้ว แต่ก็จ่ายไม่ได้ตามที่ตกลงไว้ เพราะวิทยาลัยดุริยางคศิลป์หาเงินรายได้ไม่พอที่จะจ่าย ในที่สุดต้องยอมจำนนว่าขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถที่จะใช้หนี้ให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดลอย่างที่ตั้งใจไว้ได้
คณบดีได้เปิดเจรจาเพื่อขอยุติการใช้หนี้กับอธิการบดี ด้วยความเข้าใจเป็นอย่างดีของอธิการบดี ก็ได้รับความเชื่อมั่นจากท่านว่า “อาจารย์สุกรีอย่าได้กังวลเรื่องหนี้อีกเลย ให้ทำงานต่อไป ตราบที่ผมยังอยู่ในตำแหน่ง เราก็จะไม่คุยเรื่องหนี้กันอีก” อธิการบดี (ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร) ให้คำมั่นสัญญา
หนี้เก่ากำเริบ
อธิการบดีสมัย ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน (พ.ศ.2555) เรื่องหนี้ก็กำเริบขึ้นมาอีก ประกอบกับการนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของท่านอธิการบดี นำไปสู่การเอาปี๊บคลุมหัว ที่สุดหนี้เก่าก็เปิดแผลกำเริบ บัญชีหนี้ถูกตรวจโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งได้กลายเป็นปัญหาจนถึงวันนี้
นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล (ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช) มีหนี้ทางใจกับคณบดี (สุกรี เจริญสุข) มานานแล้ว ตั้งแต่เรื่องการรับรองมาตรฐานหลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต เรื่องการดำรงตำแหน่งวาระที่ 2 ของคณบดี และเรื่องการคลุมปี๊บประท้วงอธิการบดี นายกสภาจึงได้เร่งรัดให้จัดการเรื่องหนี้ให้ชัดเจน ในการประชุมครั้งสุดท้ายที่ท่านเป็นนายกสภา เพื่อสรุปให้ชัดเจนว่า วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ เป็นหนี้และต้องจ่าย
แก้ปัญหาหนี้
หนี้ระหว่างวิทยาลัยดุริยางคศิลป์กับมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นเรื่องภายในระหว่างเงินกระเป๋าซ้ายและเงินกระเป๋าขวา คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์เองก็ได้พยายามเจรจาต่อรองหลายครั้งทุกสมัยก็ไม่สำเร็จ ความจริงแล้ววิทยาลัยดุริยางคศิลป์ไม่ได้เป็นนิติบุคคล ยังอยู่ภายใต้การจัดการของมหาวิทยาลัยมหิดล ทรัพย์สินทุกอย่างทุกชิ้นที่มีในวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ เป็นทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยมหิดลทั้งหมด
หากคณบดีรู้สึกน้อยใจ แล้วลาออกไปจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ คือหนีหนี้ ปล่อยให้มหาวิทยาลัยมหิดลเข้าไปบริหารและจัดการไปเลย ซึ่งเกรงว่าจะเจ๊งกันหมด เพราะผู้บริหารใหม่ไม่มีความรู้เรื่องดนตรี ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะบริหารศิลปิน ไม่เป็นมิตรและไม่จริงใจ แถมยังเห็นแก่เงินเป็นเรื่องใหญ่และเงินสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
หากจ่ายหนี้เป็นเงินสดให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล ก็จะทำให้วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ขาดสภาพคล่องทันที ไม่มีเงินในการจัดการ ซึ่งเงินที่มีอยู่ก็เป็นเงินที่รอจ่ายพนักงานและอาจารย์ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ได้งบสนับสนุนจากรัฐน้อย (29%) จึงต้องหารายได้มาสนับสนุนในการดำเนินกิจการ หากไม่มีเงินที่จะบริหารจัดการก็จะทำให้วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ไม่มั่นคงทันที อาจารย์ฝรั่งทั้งหลาย (40%) จะลาออกไป วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ก็จะต่ำลง หมดราคาความน่าเชื่อถือ วันนี้แม้จะไม่มีเงิน บอกใครๆ ก็ไม่มีใครเชื่อว่าไม่มีเงิน เพราะดูแล้วเป็นลูกคนรวย
หากคิดจะประกาศขายอาคารที่ได้งบประมาณก่อสร้าง หรือประกาศขายเปียโนที่ซื้อไว้ ก็จะสร้างความเสียหายกับหน้าตามหาวิทยาลัยมหิดลอย่างยิ่ง ไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์ นักเรียนก็จะไม่มา ความรู้สึกแตกแยกและความรู้สึกรังเกียจก็จะเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นเด็กดื้อเบี้ยวไม่จ่าย จะยิ่งทำให้วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ตกต่ำลงไปอีก
เหลือทางเลือกอยู่ทางเดียวที่นุ่มนวลที่สุดคือ คณบดีก็แก่แล้ว ควรหาเงินใช้หนี้ให้หมด เพื่อว่าคนรุ่นหลังจะได้ไม่ตราหน้าว่าเป็นคณบดีที่สร้างหนี้เอาไว้ ยังสร้างภาระความเกลียดชังไว้อีก ทำให้วิทยาลัยดุริยางคศิลป์เป็นองค์กรที่ไม่น่ารัก ใครๆ ก็ไม่อยากจะคบ สูญเสียความน่าเชื่อถือ ดีไม่ดีถูกตราหน้าว่าเป็นนักเลงไปเสียอีก
บทเพลงสำหรับวันพรุ่งนี้
ดนตรีเป็นอาชีพของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ดังนั้น การจัดแสดงดนตรี จึงเป็นวิธีเดียวที่ถนัดและเชื่อว่าจะหาเงินใช้หนี้ได้ อาจใช้เวลาใช้หนี้นาน แต่ก็ดีกว่าที่จะหนีหนี้ เพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ จะต้องไม่เกเรและไม่เบี้ยว ดังนั้น การจัดคอนเสิร์ตเพื่อหาเงินใช้หนี้ให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นวิธีที่กล้าหาญ เป็นวิธีที่สู้อย่างซึ่งหน้า อย่างน้อยทุกคนในวิทยาลัยดุริยางคศิลป์จะได้ตระหนักและไม่หลงลืมตัวว่ามีฐานะเป็นอย่างไร
รายการแรก เป็นการแสดงของวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย เป็นรายการโอเปร่าเรื่องแรกที่เกิดขึ้นในเมืองไทยคือ คาวาล์เลอเรีย รูสติกานา (Cavalleria Rusticana) แสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2461 โดยคอนดักเตอร์ชาวอิตาเลียน อัลเบอร์โต นาซารี (Alberto Nazzari) เมื่อ 99 ปีมาแล้ว ได้เปิดแสดงครั้งแรกในกรุงสยาม ครั้งนี้วงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทยจะแสดงวันที่ 4-5 พฤศจิกายน 2559 โดยมีอัลฟองโซ สการาโน (Alfonso Scarano) จากเมืองมิลาน อิตาลี เป็นผู้ควบคุมวง และมีนักร้องนำจากอิตาลี
รายการที่สอง งานอนุสรณ์อยุธยา-ธนบุรี 250 ปี โดยจัดขึ้นวันที่ 24-25 มีนาคม 2560 ครึ่งแรกเป็นเพลงร้อง ดนตรีโดย ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ เนื้อร้องจากเพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ส่วนครึ่งหลังเป็นผลงานดนตรี มาร์คัส ทริสตัน (Marcus Tristan) นักประพันธ์เพลงชาวอังกฤษ เนื้อร้องของอังคาร กัลยาณพงศ์ โดยวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย
“กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี แต่คนดีของกรุงศรีอยุธยามาตอนกรุงแตก”
รายการที่สาม เป็นการแสดงของวงบีบีซีซิมโฟนีออเคสตรา (BBCSO) จากประเทศอังกฤษ ซึ่งจะแสดงในวันที่ 28-29 มีนาคม 2560 เป็นรายการที่สำคัญอีกรายการหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่วงบีบีซีมาแสดงที่ประเทศไทย บีบีซีนั้นนอกจากจะมีรายการวิทยุและรายการโทรทัศน์แล้ว ยังมีวงดนตรีบีบีซีออเคสตราด้วย
ทั้ง 3 รายการ บัตร 4,000 บาท ทุกที่นั่ง แถมเสื้อคอกลม (รูปคณบดีเป่าแซก) เพื่อเป็นที่ระลึกให้แก่มิตรรักแฟนเพลงที่ร่วมกันช่วยใช้หนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า “ดนตรีสร้างความสามัคคีของปวงชน” และดนตรีเป็นวิชาที่จำเป็นและสำคัญสำหรับมนุษยชาติอีกสาขาหนึ่ง โดยเฉพาะการพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ
ซื้อบัตรและบริจาคได้ที่ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขามหาวิทยาลัยมหิดล เลขที่บัญชี 333-210822-1
ทำความเข้าใจ
สังคมไทยเป็นสังคมที่เงินเป็นใหญ่ เงินคือพระเจ้า บางครั้งเงินยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าเสียอีก คือเป็นพ่อของพระเจ้า ทุกอย่างเห็นเป็นเงิน ให้คุณค่าอยู่ที่เงิน ตัดสินกันด้วยเงิน (ธนสัญญี) มีครอบครัวไทยจำนวนมากที่จบลงด้วยการทะเลาะและความตายเพราะเงิน เมื่อพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีความรักความผูกพันกันดี ครั้นพ่อแม่ตาย รุ่นลูกก็จะทะเลาะและแย่งสมบัติกัน ครอบครัวที่พ่อมีเมียหลายคน ก็จะมีชนชั้นเกิดขึ้นภายในครอบครัว แบ่งเป็นลูกเมียหลวง ลูกเมียน้อย ลูกพ่อที่เกิดกับคนใช้ หรือเด็กที่พ่อขอมาเลี้ยง เมื่อแบ่งสมบัติก็จะได้สัดส่วนที่ต่างกัน
วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ เป็นลูกที่มาขออาศัยเขาอยู่เป็นลูกนอกไส้ เป็นกาหลงฝูง เมื่อพ่อแม่ตายจากไปแล้ว พี่คนโต (หูตึง คอแข็ง สายตาสั้น) มีอำนาจสูงสุด พี่ๆ ได้ทรัพย์สมบัติเป็นส่วนใหญ่ ที่เหลือก็ถูกแบ่งเป็นส่วนๆ ตามอำนาจ สำหรับวิทยาลัยดุริยางคศิลป์นั้น ก็เป็นลูกหนี้และถูกเรียกหนี้คืน โชคยังดีที่พี่ๆ เขาไม่ได้คิดดอกเบี้ย และที่โชคดีกว่านั้นพี่ๆ เขาไม่ได้ไล่ให้ออกจากบ้าน