ใกล้วันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพวกอีก 5 คน เป็นการอภิปรายรัฐมนตรีรายบุคคล
แต่หากวันลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ คะแนนเสียงของนายกรัฐมนตรีได้รับน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ
จำนวนสมาชิกที่มีอยู่ในขณะนั้น แน่นอนว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีได้รับความไว้วางใจน้อยกว่าไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออกจากความเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อนายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การสิ้นสุดของคณะรัฐมนตรีย่อมเกิดขึ้น
ขณะนั้น
เพราะเมื่อตัดหัวขบวนออก ขบวนจะวิ่งต่อไปได้อย่างไร ไม่ว่าด้วยกรณีใด จริงไหม
นี่คือการคาดเดาไปตามความรู้สึกนึกคิดความเป็นประชาธิปไตยของผู้เขียน ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งสิ้นแม้กฎหมายรัฐธรรมนูญ
เหตุที่ทำให้รัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 (3) สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ คือผลจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามที่ผู้แทนราษฎรเข้าชื่อตามจำนวนกำหนด ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรกำหนดให้เปิดการอภิปราย 3 วัน คือวันจันทร์ที่ 24 อังคารที่ 25 และวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ไม่เกินเวลา 24.00 น. จากนั้นจึงไปลงมติในวันต่อไป
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง
ปัญหาใหญ่ของรัฐบาล (จากการเลือกตั้ง) ชุดนี้ คือปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดหนักลงไปมาก กระทั่งไม่ว่าทีมงานเศรษฐกิจจะเข้าไปแก้ไขปัญหาอย่างไรก็ยากที่จะฟื้นคืนตัวขึ้นมาได้ในเร็ววัน
ทั้งวันนี้ รัฐบาลยังต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่ได้ก่อเอง คือการระบาดของไวรัสโคโรนาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนลดวูบลงไปถนัดตา ด้วยรัฐบาลจีนห้ามประชาชนรวมทั้งนักท่องเที่ยวออกนอกประเทศ เสมือนหนึ่งการปิดประเทศในยามนี้
กับปัญหาที่เกี่ยวกับการส่งออกสินค้าในภาวะค่าเงินบาทไทยสูงขึ้น แม้จะเป็นผลดีกับสินค้าขาออก หากแต่ภาวะเศรษฐกิจโลกไม่เอื้อให้มีการซื้อขายเช่นที่ผ่านมา ทำการค้าขายสินค้าไม่ว่าของประเทศไหน ลดลงโดยสิ้นเชิง ประกอบกับเมื่อสินค้าจากต่างประเทศที่สั่งเข้ามาราคาย่อมสูงขึ้นตามค่าเงิน การจับจ่ายใช้สอยในประเทศจึงหดหายตามไปด้วย
ไม่ว่ารัฐบาลจะระดมนักการเงินการคลังมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจการเงินของประเทศหลายมาตรการ
ทั้ง ลด แลก แจก แถม เงินในกระเป๋าของประชาชนมิได้เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร กลับจะหดหายตามไปด้วย
ไม่ต้องดูอื่นไกล จากการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในการซื้อสินค้าที่ผ่านปีใหม่ ตรุษจีน ทั้งจะเข้าถึงเทศกาลสงกรานต์ในสองเดือนข้างหน้า คงจะได้เห็นว่าเศรษฐกิจการเงินในกระเป๋าประชาชนลดน้อยลงไปเพียงใด จากการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้ากลับไปบ้านให้พ่อแม่ญาติพี่น้อง
การอภิปรายในครั้งนี้ มีหลายประเด็นให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้านที่ยื่นขอเปิดอภิปรายและวางตัวผู้อภิปรายไว้ โดยเฉพาะจากสมาชิกรุ่นใหม่ หนุ่มสาวที่แสดงฝีปากด้วยเหตุด้วยผลและประจักษ์พยานที่ประกาศว่ามีพร้อมอยู่ในมือ
คงต้องเฝ้าดูกันไปว่า หลักฐานอันน่าจะเป็นประจักษ์พยาน และเหตุผลที่สมาชิกฝ่ายค้านจะเสาะหามาเพียงพอที่ “ล้ม” รัฐบาล หรือเป็นเหตุให้รัฐมนตรีรายนั้นๆ รวมทั้งนายกรัฐมนตรีจำนนหรือไม่
เพราะถึงอย่างไร ฝ่ายรัฐบาลย่อมได้เปรียบในเรื่องการจัดหาหลักฐานจากข้าราชการอันเป็นกลไกสำคัญในการเสาะหามายืนยันลบล้างหลักฐานของฝ่ายค้าน กระทั่งหลักฐานจากฝ่ายค้านกลายเป็นเรื่องเก่าเก็บอย่างนั้น ผู้ฟังคือประชาชนทั่วไปคงจะผิดหวังไม่น้อย
กระนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ฝ่ายค้านน่าจะมีดีพอทำให้รัฐมนตรีบางคนร้อนๆ หนาวๆ บ้าง