สถานการณ์ทางการเมืองวันนี้คงไม่เป็นเช่นอดีตที่ผ่านมา เพียงแต่มีท่านผู้ที่เกี่ยวข้องในอดีตย้อนกลับไปเมื่อก่อนพุทธศักราช 2514 เปรียบเทียบสมัยรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี จากการปฏิวัติตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
รัฐบาลครั้งนั้นเป็นรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพอย่างยิ่ง ด้วยเพิ่งผ่านการเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหมาดๆ ทำให้บรรดานิสิตนักศึกษาและประชาชนคิดว่าจะเกิดประชาธิปไตย หลังผ่านยุคเผด็จการมายาวนานถึง 12 ปี มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทางการเมืองได้ ปล่อยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตีรวนกระทั่งต้องปฏิวัติตัวเอง
เป็นเหตุให้เกิดการประท้วง เดินขบวน และอื่นๆ อีกสารพัด กระทั่งกระบวนการนิสิตนักศึกษาก่อตัวเรียกร้องประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ เกิดการชุมนุมใหญ่ รัฐบาลต้องออกมาใช้อาวุธปราบปราม จับกุมผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญ จึงมีการเดินขบวนครั้งใหญ่ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร กับพวกออกไปนอกประเทศได้ในที่สุด
สถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับอดีต คือการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยซึ่งนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง (ประการหลังนี้ไม่ชัดเจนว่าต้องเป็นเช่นนั้น) ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ล้มเลิกกฎหมายอันเป็นตัวแทนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือปรับเปลี่ยนให้เป็นพระราชบัญญัติ หรือพระราชกฤษฎีกา เพื่อใช้เป็นกฎหมายต่อไป ไม่ใช่ยังเป็นประกาศ หรือคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเช่นทุกวันนี้
หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลจบลงด้วยการไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 5 คน มีเค้าว่านายกรัฐมนตรีจะปรับปรุงรัฐมนตรีบางคนที่การอภิปรายพาดพิงถึงบางเรื่องอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายร้ายแรงในต่างประเทศ รวมทั้งตัวนายกรัฐมนตรีเองที่ฝ่ายค้านอภิปรายถึงการบริหารงานล้มเหลว สมควรลาออก หรือยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่
ขณะที่เสียงเรียกร้องเป็นเหตุให้บรรดานิสิตนักศึกษา และนักเรียนมาชุมนุมกรณีดังกล่าวในลักษณะเป็นครั้งเป็นกลุ่ม (แฟลชม็อบ) ร่วมกับประชาชนจำนวนหนึ่งเพิ่มครั้งและจำนวนขึ้น
กรณีที่เกิดขึ้นอาจมิใช่ “น้ำผึ้งหยดเดียว” แต่เป็นเสมือน “แสงไฟ” ที่เกิดขึ้นจุดหนึ่ง แล้วเพิ่มขึ้นทีละจุดสองจุด กระทั่งสว่างจ้าไปทั่ว ยิ่งจะทำให้ประชาชนมองเห็นปัญหาที่เกิดแต่ยังอยู่ในความมืดมากขึ้นทุกขณะ
เมื่อแสงสว่างกระจายไปทั่วมากขึ้นเท่าไหร่ ย่อมทำให้มองเห็นปัญหาขยายตัวและเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
การกระทำในครั้งนี้ มิได้เกิดจากผู้แสดงความคิดเห็น หากแต่เกิดจากการกระทำอันมีผลจากการใช้อำนาจทางกฎหมายยุบพรรคการเมืองที่บุคคลกลุ่มดังกล่าวเลือกสมาชิกเข้าไปจำนวนไม่น้อย
เป็นการที่กระทำต่อสถานภาพของสิ่งอันเป็นนามธรรม มิได้กระทำต่อบุคคลที่เป็นรูปธรรม และแม้จะกระทำกับผู้เป็นรูปธรรม ยังเป็นการกระทำไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย หรือขัดต่อหลักการสิทธิและเสรีภาพของบุคคลด้วยการตัดสินให้พ้นจากสภาพอันเป็นสิทธิและเสรีภาพที่ควรจะมีควรจะเป็น
เพราะเป็นความผิดขัดแย้งกับกฎหมายหลักคือรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
แม้ผลการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และการลงมตินั้นจะผ่านไปตามวิถีทางของความเป็นรัฐบาลและรัฐสภาที่เสียงของรัฐบาลย่อมมีมากกว่า หากแต่กรณีญัตติการไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลและการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านหลายคน กับการที่สมาชิกฝ่ายรัฐบาลบางพรรคไม่เห็นด้วยในบางเรื่องแต่จำต้องให้รัฐมนตรีคนนั้นผ่านการไว้วางใจตามครรลองการเมืองในระบบรัฐสภา
เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีต้องพิจารณาให้จงหนักว่าจะรักษาความเป็นรัฐบาลที่มีลักษณะรัฐบาลผสม ซึ่งมิได้มาจากความแข็งแกร่งของพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวหรืสองสามพรรค ทั้งรัฐมนตรีบางคนพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ไว้วางใจเท่าที่ควร อย่างน้อยสมควรปรับคณะรัฐมนตรี
หรือลาออก หรือยุบสภาเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจเลือกตั้งใหม่ เผื่อจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งขึ้น
เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์