คนตกสี : ภราดรภาพในยามไข้ : ข้อวิงวอนต่อภาครัฐ : โดย กล้า สมุทวณิช

ผ่านไปอีกสัปดาห์สถานการณ์ของประเทศไทยและโลกจากการคุกคามของไวรัส COVID-19 ก็ยิ่ง
ทวีความร้ายแรงขึ้น สมแล้วกับที่มันคือภัยคุกคามเผ่าพันธุ์เรามาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์

แม้ว่าโลกเราจะประสบกับภัยคุกคามจากโรคระบาดที่เป็นอันตรายมามากมายในอดีต แต่ COVID-19 นี้มีลักษณะเฉพาะตัวที่น่ากลัวเป็นพิเศษ ด้วยความที่การระบาดของมันนั้นง่ายดายแตกต่างจาก HIV ที่แม้จะอันตรายกว่าแต่เราก็ป้องกันได้ง่าย แต่สำหรับโรคร้ายตัวใหม่นี้เราทำได้เพียงป้องกันมันได้เท่าที่ทำได้ ใส่หน้ากากอนามัย งดใช้ข้าวของร่วมกันและหมั่นล้างมือ แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้สมบูรณ์ว่าเราจะป้องกันมันได้ 100%

COVID-19 แตกต่างจาก SARS ซึ่งเป็นต้นสายดั้งเดิมของมันด้วยการแฝงเร้นอาการจนยากที่จะคาดเดาว่าใครเป็นพาหะ และด้วยอัตราการเป็นพาหะสูงแต่อัตราการตายที่ต่ำ ทำให้มันกระจายตัวไปได้กว้างและไกลยิ่งกว่า ประกอบกับการเดินทางที่เหมือนไร้พรมแดนของผู้คนในโลกยุคใหม่ จึงเป็นเหมือนคำสาปมรณะแบบสุ่มไม่เลือกหน้า ที่ผู้โชคร้ายจะเจ็บป่วย และผู้ที่โชคร้ายกว่าจะถึงแก่ชีวิต ส่วนผู้ที่ติดเชื้อเฉยๆ โดยไม่มีอาการก็จะส่งสุ่มความป่วยไข้นี้ต่อไปในทุกถิ่นที่เขาย่างเท้าเข้าถึง

เพราะความร้ายกาจน่ากลัวข้างต้น ทำให้มนุษย์เราสูญเสียความเชื่อมั่นและละทิ้งคุณค่าทางจิตใจหลายอย่าง ความรักตัวกลัวตายคือสัญชาตญาณพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต และมันทำให้เรากลับไปใช้กลไกตอบโต้พื้นฐานที่สุด คือหนีหรือสู้ สู้ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ากำลังสู้กับอะไรเพราะมองไม่เห็น ทำให้เราพุ่งเป้าไปยังสิ่งที่เรามองเห็น นั่นคือมนุษย์ด้วยกันเอง

Advertisement

การรังเกียจรังแกชาวเอเชียในหมู่ชาวตะวันตกคือรูปธรรมของสัญชาตญาณนั้น เพียงเพราะเขาเชื่อว่าเพราะพวกคนผิวเหลืองนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของโรคร้ายภัยคุกคาม และแม้แต่กับคนร่วมชาติพูดจาภาษาเดียวกัน ผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อก็ได้รับการปฏิบัติหรือถูกมองอย่างหวาดกลัว ในประเทศไทยก็เพิ่งมีรายงานที่ชาวบ้านในพื้นที่ออกมารวมตัวกันต่อต้านมิให้มีการรักษาผู้ป่วย COVID-19 ในพื้นที่ของตัวเอง หรือแม้แต่กระแสหวาดระแวงคนสัญชาติไทยที่จะเดินทางกลับประเทศ

ทั้งปวงคืออาการป่วยไข้ที่เป็นผลมาจากไวรัส ที่ทำให้เราล้วนละเลยภูมิธรรมสำคัญของมนุษยชาติ คือ “ภราดรภาพ”

ดังได้กล่าวไปบ้างในคอลัมน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่า “ภราดรภาพ” หรือ Solidarity อันเป็นหนึ่งในเสาหลักทั้งสามของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ร่วมกับเสรีภาพและความเสมอภาค สถานการณ์ในตอนนี้ที่เสรีภาพทั้งหลายของเรากำลังลดลง และความไม่เสมอภาคกำลังปรากฏชัด ก็ไม่แปลกที่ภราดรภาพจะได้รับการกระทบกระเทือน

Advertisement

ภราดรภาพคือภูมิธรรมแห่งหลักการว่ามนุษย์เราทั้งหลายล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวเป็นดังเป็นกายเดียวกัน ภายใต้หลักการว่าการกระทำของเราแต่ละคนมีผลกระทบทั้งในแง่ดีและแง่ร้ายต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่น และในทางกลับกันความเสี่ยงภัยและความรับผิดชอบของเราจะต้องสูงขึ้นหากมีผู้ตกทุกข์ได้ยาก เพราะนั่นเป็นไปได้ว่าความทุกข์ยากของเขานั้นอาจจะมีส่วนมาจากการกระทำของเราเช่นกัน

ความคิดเรื่องภราดรภาพนี้มิใช่อุดมการณ์ทางการเมืองที่เป็นเพียงเรื่องเล่าวาทกรรม แต่มันเชื่อมโยงกับธรรมชาติของมนุษย์เราอย่างแท้จริง การศึกษาจิตวิทยาด้านวิวัฒนาการในระยะหลังค้นพบว่ามนุษย์เรามีความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและผูกพันกับคนอื่น ในทางกายภาพเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับคนอื่น ออกซิโทซินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขจะหลั่งออกมา ส่งผลให้เราวิตกกังวลน้อยลงและมีสมาธิดีขึ้น การพูดคุยกับคนอื่นส่งผลดีต่อร่างกายโดยตรงด้วยผลของฮอร์โมนนั้น

เรื่องที่ว่าที่แท้แล้วมนุษย์เราแท้แล้วมีความเชื่อมโยงถึงกันและต้องพึ่งพากัน ดังเป็นเนื้อเป็นกายและจิตเดียวกันนี้ได้รับการกล่าวถึงทั้งในคำสอนของศาสนา อยู่ในแทบทุกวัฒนธรรม ไปจนถึงหนังสือแนว How to และจิตวิทยาเชิงบวกยุคใหม่ มีการทดลองและวิจัยมากมายเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้และยืนยันว่ามนุษย์นั้นมี “ภราดรภาพ” เป็นธรรมชาติติดตัวเผ่าพันธุ์ของเรามาแล้วโดยกำเนิด

แล้วภราดรภาพจะช่วยเราในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?

เราอาจจะต้องยอมรับว่า ณ ห้วงขณะนี้คือช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก โดยเราประสบภัยพิบัติอันเป็นชะตากรรมร่วมกันของมนุษยชาติซึ่งเกินกว่าความสามารถในการจัดการของอำนาจรัฐหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะแล้ว

จริงอยู่ว่าก่อนหน้านี้อาจมีข้อพิจารณาได้ว่า เรามีเวลาและโอกาสที่จะเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่านี้ หากความดูเบาต่อสถานการณ์ถึงขั้นประมาทผู้มีอำนาจต่างคน ต่างกรรม ต่างวาระซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้สถานการณ์แย่ลงไป และที่ร้ายแรงที่สุดคือการแพร่ระบาดในวงกว้างจากความไม่อินังขังขอบนั้น แต่บัดนี้มันเกินเวลาที่เราจะเพ่งโทษหรือหาคนผิดแล้ว

ประชาชนอย่างเราจึงควรร่วมมือร่วมใจกับรัฐบาลและผู้ใช้อำนาจรัฐ ด้วย “ภราดรภาพ” เพื่อให้ผ่านสภาวการณ์นี้ไปก่อน ไม่ได้แปลว่าเราจะนิรโทษกรรมให้ผู้ที่มีส่วนให้สถานการณ์มันเลวร้ายเกินการณ์ แต่เรื่องชี้ผิดลงโทษอะไรค่อยไปว่ากันในภายหลัง

ในฐานะประชาชน ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมอยากร้องขอ “ภราดรภาพ” จากฝ่ายรัฐ

ประการแรก ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งยิ่งกว่าความได้เปรียบทางการเมือง อย่างเช่นปัญหาไข่ไก่ขาดตลาดและมีราคาแพงซึ่งเป็นความเดือดร้อนนั้น มันน่าจะดีกว่าถ้าพรรคแกนนำรัฐบาลสามารถจัดหาไข่ไก่มาขายได้ในราคาถูก แต่ก็อย่าขายเฉพาะที่ทำการพรรคของท่าน หากโปรดกระจายไปยังตลาดและร้านค้าย่อยให้ทั่วถึงที่สุด ให้ใครก็สามารถไปซื้อหาได้จากร้านค้าใกล้บ้าน เพื่อลดการแพร่กระจายตัวของไวรัสผ่านการเดินทาง ส่วนพรรคการเมืองที่รับผิดชอบกระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายใน ก็ขอได้โปรดมุ่งเน้นความเร่งด่วนที่การจัดหาไข่ไก่กลับเข้าสู่ระบบตลาดได้โดยเร็วที่สุด มิใช่ไปไล่จับดำเนินคดีเอากับผู้ค้ารายย่อย ที่ไม่มีประโยชน์เลยกับการเอาคนขายไข่ในตลาดคนหนึ่งไปเข้าคุก และเสียจุดกระจายไข่ไก่นั้นให้ประชาชน

ขอได้โปรดใช้อำนาจรัฐที่ล้นพ้นของท่านจัดหาหน้ากากอนามัยเพื่อการแพทย์มาให้นักสู้ในเสื้อกาวน์ของพวกเรา ต่อให้ท่านอาจจะไม่มีงบประมาณ อย่างน้อยก็ขอให้ทำให้มีจำหน่ายเพื่อประชาชนจะได้เรี่ยไรกันจัดซื้อจัดหาให้คุณหมอ คุณพยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่ต้องดูแลพวกเรา หรือถ้าเป็นไปได้มากกว่านั้น หากท่านสามารถโยกย้ายงบประมาณที่ยังไม่จำเป็นต่างๆ (เช่น งบอบรมสัมมนาในหน่วยราชการที่กล่าวได้ว่าไม่อาจดำเนินการได้โดยแน่แท้) มาเป็นงบสำหรับการสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ได้ ก็น่าจะเป็นการดี

ประการที่สอง ได้โปรดลดกระบวนการทาง “ราชการ” ที่ไม่จำเป็น รวมถึงแบบพิธีต่างๆ ที่ทำไปเพียงเพราะความรู้สึกเรียบร้อยหรือสบายใจว่าได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือการตั้งด่านสกัดคนเดินทางข้ามจังหวัด ซึ่งโปรดยอมรับเถิดว่าการคัดกรองด้วยการวัดอุณหภูมินั้นไม่ได้ผล เพราะผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการหรือเป็นไข้ ยังไม่ต้องพูดถึงอุปกรณ์การวัดที่คลาดเคลื่อนได้ง่าย ทั้งรังแต่จะเป็นการสร้างความยุ่งยากเกินสมควรให้ประชาชนที่ยังต้องเดินทางอยู่ด้วยข้อจำกัด ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควรจะได้พิทักษ์สันติราษฎร์ หรือดูแลป้องกันเหตุร้ายอันตรายจากสภาวะอันยุ่งเหยิงนี้

ในเรื่องกิจการราชการทางปกครองต่างๆ ในเรื่องที่ยังไม่จำเป็นเร่งด่วนหรือส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความเป็นอยู่หรือสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการอะลุ่มอล่วยหรืองดเว้นการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การต่อใบอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรือการต้องไปแสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้บ้าง ซึ่งเพียงท่านออกกฎหมายขึ้นมาสักฉบับหนึ่งโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญเพื่อยกเว้นการนับระยะเวลาหรือการหมดอายุสำหรับใบอนุญาตที่ไม่จำเป็นในระยะเวลานี้ได้หรือไม่ เพื่อเราจะไม่ต้องเห็นบุคคลไปขอต่อใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวกันเต็มพื้นที่ ตม. ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ดังเช่นสัปดาห์ที่ผ่านมา

และเป็นไปได้หรือไม่ ที่ท่านจะใช้อำนาจที่มีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย สั่งให้หน่วยงานราชการที่ไม่ได้ทำงานให้บริการพื้นฐานอันจำเป็นต่อประชาชน กำหนดให้ข้าราชการ ลูกจ้าง และบุคลากรได้ทำงานจากที่พัก เพื่อลดความจำเป็นในการออกจากบ้าน เดินทาง ซึ่งสร้างความเสี่ยงทั้งต่อตัวเองและสังคม และเป็นการอยู่บ้านเพื่อลดภาระงานอย่างที่คุณหมอท่านขอร้อง

ประการที่สาม สุดท้าย สำหรับการจัดการเรื่องข่าวปลอมหรือ Fake News นั้น แน่นอนว่าการสร้างหรือปล่อยข่าวปลอมไม่ว่าเพื่อประโยชน์ใดนั้นคือการทำร้ายสังคมและซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลง แต่นั่นหมายถึง “ข่าวปลอม” ประเภท (Disinformation) ที่
ผู้สร้างหรือปล่อยแน่ใจอยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลที่เป็นเท็จหรือคลาดเคลื่อน แต่ก็ยังฝ่าฝืนจะนำเข้าสู่พื้นที่ข่าวเพื่อหวังประโยชน์หรือประสงค์จะสร้างความแตกตื่นและความเสียหายให้ประชาชน

แต่ขอได้โปรดท่านเมตตากับ “ข่าวคลาดความจริง” (Misinformation) ที่อาจจะเริ่มมาจากเพียงเพราะความแตกตื่นหวาดกลัวของประชาชน ที่อาจจะแชร์ข่าวสารที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนนั้นโดยไม่ตรวจสอบ
ให้ดี ก็เนื่องจากอยากกระจายข่าวเพื่อให้ตัวเองและ
คนที่รู้จักระมัดระวังตัวหรืออาจจะเชื่อว่าเป็นหนทางบรรเทาหรือป้องกันโรคได้

คนพวกนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย ไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างเป็นอาชญากร

ขอให้ท่านแยกแยะ “ความคิดเห็น” และการวิพากษ์วิจารณ์ออกจาก “ข้อเท็จจริง” ที่จะถือว่าเป็นการเผยแพร่ข่าวปลอม ขอให้ท่านโปรดเพิ่มขันติธรรมในการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐบ้าง แม้อาจจะมีบ้างที่เป็นข้อมูลผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือไม่น่าฟัง แต่อย่างน้อยก็เพื่อบรรเทาเบาบางความอึดอัดหวาดกลัวทั้งปวงที่มีที่เกิดขึ้น และความกดดันที่ไม่อาจใช้ชีวิตได้ตามปกติ

เช่นเดียวกับที่ต้องขอวิงวอนต่อองค์กรในกระบวนยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ และศาล ให้ “เมตตา” ต่อผู้ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว โดยพิจารณาวินิจฉัยแต่ละกรณีอย่างเคร่งครัดทั้งในทางตัวบทกฎหมาย เจตนารมณ์ และมาตรฐานการดำเนินคดีอาญาที่จะต้องสันนิษฐานไว้ว่าบุคคลทั้งหลายล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์และ
ไม่ได้มีเจตนาจะละเมิดกฎหมายอาญา

เราต้องยอมรับว่ากำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ดังนั้น หากภาครัฐได้พยายามเต็มที่แล้วต่อจากนี้ไป และยอมรับเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมาอย่างตรงไปตรงมาและโปร่งใส ในที่สุดเมื่อสถานการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว

ประชาชนย่อมจะชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกันได้ว่าน้ำหนักของความผิดพลาดเพื่อดุลคานกับความตั้งใจแก้ปัญหาแล้ว เราจะยังถือโทษโกรธเคืองรัฐบาลและองคาพยพนานาของรัฐซึ่งก็คือพวกท่านอยู่หรือไม่เพียงไร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image