“จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ประกาศให้ “หน้ากากอนามัย” เป็นสินค้าควบคุม 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจา
นุเบกษา “4 กุมภาพันธ์ 2563”
จากนั้นเป็นต้นมา เป็นเวลา 2 เดือนเต็มๆ “หน้ากากอนามัย” ก็ไม่มีในท้องตลาด
“ร้านขายยา” สถานที่อันควรมีจำหน่าย กลับไม่มีจำหน่าย !
ท่ามกลางการระบาดอย่างรุนแรงของ “โควิด-19” ประเทศไทยกำลังงุนงงและหวาดหวั่นพรั่นพรึงกับ “ความ
ไม่พร้อม” ของสาธารณสุขในการรับมือ ซึ่งตกอยู่ในภาวะที่ขาดแคลนในทุกด้านนับตั้งแต่งบประมาณที่มี
ไม่พอจนต้องแบมือ “ขอบริจาค” สถานรักษาพยาบาล เตียง เครื่องช่วยหายใจ น้ำยาฆ่าเชื้อ เครื่องตรวจ
วัดไข้ หมอ พยาบาล
กระทั่งอุปกรณ์ป้องกันตัวทั่วๆ ไปสำหรับประชาชน เช่น แอลกอฮอล์ล้างมือและหน้ากากอนามัยก็ขาดแคลน
ที่น่าประหลาดใจเป็นที่สุดก็คือ เดิมทีก่อนที่จะมีประกาศในราชกิจจินุเบกษาให้ “ผ้าปิดปาก” หรือหน้ากากอนามัยเป็น “สินค้าควบคุม” ราคาที่ซื้อขายกันชิ้นละ 2.50-3 บาท นับเป็นราคาที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ ครอบครองได้ ซื้อหามาใช้เป็นประจำวันสำหรับใช้ป้องกันตัวเองจากโรคระบาดได้
แต่หลังจากวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา
“หน้ากากอนามัย” ไม่มีขายตาม “ร้านขายยา” เหมือนแต่ก่อน
หน้ากากอนามัยหาซื้อไม่ได้ง่ายๆ อีกต่อไป
บัดนี้ “หน้ากากอนามัย” ได้กลายเป็น “หน้ากากวิเศษ” !
จากเดิมที่เคยขายกันชิ้นละ 2.50 บาท ก็พุ่งสุดโต่งพิสดารเป็นชิ้นละ 15 บาท 18 บาท จนทะลุทะลวงไปถึงชิ้นละ 20 บาท
แต่ก่อนนี้ในประเทศของเราเคยมี
หน้ากากอนามัยวางจำหน่ายประมาณวันละ 1 ล้านชิ้น หรือเดือนละ 30 ล้านชิ้น มีมูลค่ารวม เดือนหนึ่งราว 75 ล้านบาท
เวลานี้ “หน้ากากอนามัย” มีกระจายอยู่ในตลาดมืด
แม้จะสมมุติว่ามีปริมาณในตลาดเท่าเดิมคือ 30 ล้านชิ้นต่อเดือน หากแต่ “มูลค่า” เปลี่ยนไปจากเดือนละประมาณ 75 ล้านบาท เป็นเดือนละ 600 ล้านบาท !
สองเดือนมูลค่า 1,200 ล้านบาท
“หน้ากากอนามัย” ที่เคยมีราคาพื้นๆ ชิ้นละ 2.50 บาท หาซื้อได้ง่าย บัดนี้ชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็กลับกลายเป็น “หน้ากากวิเศษ” ที่ประชาชนเอื้อมไม่ถึง หาซื้อไม่ได้
ถ้าจะมี “จำหน่าย” ก็ต้องผ่านเครือข่ายขาใหญ่ที่มีอิทธิพลยึดโยงใยอยู่ใน “กลุ่มการเมือง” กับ “คนมีสี” เท่านั้น !?!!