การระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลให้ประเทศเราและประเทศอื่นๆ จะต้องเดินไปถึง “จุดหนึ่ง” ที่เหมือนกันนั่นคือ จุดที่ตัดสินใจยากระหว่าง “การปิด” กับ “การเปิด” เพื่อให้ผู้คนได้ดำเนินชีวิตปกติเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา
ไม่ง่ายนักกับการหา “จุดกึ่งกลาง” ที่รอดทั้งจากภัยโควิด-19 และรอดภัยจากเศรษฐกิจซึ่งเกิดจากการล็อกดาวน์
ตราบเท่าที่ยังไม่มี “วัคซีน” และ “ยารักษา” เจ้าไวรัสร้ายนี้จะยังคงอยู่กับผู้คนทั่วโลกไปอีกนานกับพร้อมที่จะปะทุอย่างเกรี้ยวกราดได้ตลอดเวลา
ทั้งที่ “คุณหมอ” ตักเตือนก็ต้องรับฟัง
ทั้งที่ “กูรู” ทางเศรษฐกิจทั้งหลายชี้นำนั้น ไม่ฟังก็ไม่ได้
คุณหมอเป็นกังวลว่า โรคอุบัติใหม่ชนิดนี้เพิ่งโจมตีมนุษยชาติมาได้แค่ 5 เดือนกว่าเท่านั้น เป็นโรคที่ติดต่อง่าย ระบาดเร็ว และมีความรุนแรงยิ่งกว่ามะเร็งเสียอีก คร่าชีวิตผู้คนได้ภายใน 7-30 วัน ที่สู้มาได้ถึงวันนี้ก็แค่ “การตั้งรับ”
แนวรุกคือวัคซีนกับยารักษาโรค ยังไม่มี
แม้การระบาดของโควิด-19 จะลดระดับความรุนแรงลงเนื่องจากการปิดบ้านปิดเมือง แต่หลังจากนี้ “ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม”
จะต้องออกแบบการดำเนินชีวิตอย่างไร จึงสามารถอยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย
ยังต้องรักษาระยะห่างระหว่างกันเอาไว้ 1-2 เมตร ยังต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ หลีกเลี่ยงไปสถานที่แออัด หยุดกิจกรรมที่ไปรวมกันเป็นจำนวนมาก
ธุรกิจการค้าหลายอย่างเช่น ธุรกิจกีฬา ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว การขนส่งสาธารณะ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า สถาบันการศึกษา ฯลฯ จะต้องทำอย่างไรนั้น ล้วนเกี่ยวพันกับ “สายตา” สั้น-ไกลและ “ทัศนคติ” ที่ลึก-ตื้น
“สมหมาย ภาษี” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แนะว่า นายกรัฐมนตรีควรจะเปิดหูเปิดตารับฟังให้รอบด้านจากหลายฝ่าย พร้อมกับคำนวณให้ฟังว่า “การล็อกดาวน์” ทำความเสียหายทางเศรษฐกิจราวเดือนละ 560,000 ล้านบาท
“การขยายเวลาล็อกดาวน์ออกไป 1 เดือนจะเท่ากับความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเมื่อ 6 ปีที่แล้วทั้งโครงการ การตัดสินใจผิดพลาดจะทำความเสียหายแก่ประเทศชาติมหาศาล จึงไม่ง่ายนัก ถ้าจะมาอ้างว่าเป็นความรับผิดชอบของนโยบาย”
จะว่าไปแล้ว วิกฤตการณ์ครั้งนี้ “การสาธารณสุขไทย” สอบผ่านแล้ว
ที่เหลือคือ การบริหารราชการแผ่นดิน !?!!