ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
---|
คุณองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงยืนยันกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความภาพทางโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ โดยใส่คำพูดของบุคคลสำคัญในพรรคนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ในทำนองไม่รับร่างรัฐธรรมนูญว่า ไม่ได้เป็นการดำเนินการของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคไม่รับรู้อะไรด้วย และไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ
ครับ เป็นสิทธิที่จะชี้แจงเพื่อป้องกันตัวเอง ป้องกันความเข้าใจผิด แต่ก็ยอมรับว่าข้อความที่ปรากฏส่วนใหญ่มาจากการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนโดยตัดต่อมาเฉพาะบางส่วนเท่านั้น
ประเด็นที่น่าสนใจติดตาม จึงไม่ใช่มีแค่ว่าแล้วมือดีที่ไหนเป็นคนทำเท่านั้น แต่น่าวิเคราะห์ต่อว่า ผู้ทำต้องการอะไร
และการที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์เพียงแค่ออกมาปฏิเสธเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยไม่ยอมประกาศยืนยันท่าทีของพรรคต่อการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเหมือนเดิม เพราะเหตุใด
ถึงแม้จะอ้างว่ามีประกาศ คสช.ห้ามไม่ให้พรรคการเมืองประชุม จึงไม่สามารถมีมติใดๆ ได้ก็ตาม โดยตัวบุคคลแกนนำพรรคแต่ละคนสามารถแสดงจุดยืนที่ชัดเจนได้อยู่แล้วว่า จะรับหรือไม่รับ ด้วยเหตุผลใด หรือจะเปิดให้สมาชิกพรรคตัดสินใจโดยอิสระ ฟรีโหวตก็ย่อมสามารถสะท้อนความคิดเห็น หรือส่งสัญญาณออกมาได้
แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็เลือกที่จะอมพะนำหรือแทงกั๊ก ไม่แสดงความชัดเจนเรื่องนี้ นอกจากเรียกร้องให้ คสช.หรือรัฐบาลประกาศให้ชัดว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านการรับรองแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะนำรัฐธรรมนูญฉบับใดมาใช้ หรือมีกระบวนการยกร่างฉบับใหม่อย่างไร
การไม่แสดงท่าทีชัดเจนของพรรคประชาธิปัตย์ทำให้เกิดความอึมครึม จึงไม่ต่างไปจากท่าทีของ คสช.และรัฐบาลที่ถูกเรียกร้องให้ประกาศชัดเจน แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏคำตอบใดๆ นอกจากการเตรียมแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2557 กำหนดกระบวนการใหม่หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน
ต่างฝ่ายต่างสร้างความอึมครึม ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลต่อการตัดสินใจลงประชามติของผู้มีสิทธิและทัศนคติของสังคมต่อทั้งสองฝ่ายว่า ล้วนมีผลประโยชน์บางอย่างซ่อนไว้หรือไม่
พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องตัดสินใจระหว่างประโยชน์ของพรรคกับประโยชน์ของสาธารณะจะเลือกอะไรเป็นหลัก
ผมมโนไปว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เกรงว่าการประกาศท่าทีชัดเจน หากรับจะทำให้เกิดความเสียหายทางการเมือง เสียเครดิตเพราะยอมจำนนต่อหลักการถอยหลังลงคลอง หากไม่รับอาจทำให้ผู้มีอำนาจไม่พอใจ เพราะส่งผลต่อการลงประชามติจากสัญญาณที่ชัดเจนจากแกนนำพรรค อาจทำให้โอกาสได้รับการสนับสนุนให้เป็นรัฐบาลในอนาคตลดน้อยลง
ในส่วนของ คสช.และรัฐบาล หากประกาศชัดจะนำรัฐธรรมนูญฉบับใดมาใช้ ถ้าฉบับดังกล่าวมีเนื้อหาก้าวหน้ากว่าก็จะทำให้ผลการลงประชามติไม่รับมีสูงกว่า แต่ถ้าล้าหลังยิ่งกว่าก็เท่ากับว่ามัดมือชก บังคับให้จำใจรับเพราะถ้าไม่รับก็จะเจอสิ่งที่หนักข้อยิ่งกว่า นอกจากกระทบต่อภาพลักษณ์แล้ว แรงต้านจากความไม่พอใจรัฐบาลและ คสช.ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
ในมุมของ คสช.และรัฐบาล การไม่ยอมประกาศท่าทีใดๆ จึงน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าแบไต๋ ทิ้งไพ่ในมือออกมา
อย่างไรก็ตาม ในด้านผู้มีสิทธิ มีประเด็นที่น่าขบคิดพิจารณาเกี่ยวกับมาตรฐานวิธีคิดของสังคมไทยในการตัดสินใจลงประชามติ
ขณะที่เคยปฏิเสธร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ เพราะมีเนื้อหาบางประการที่เกี่ยวกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) เป็นต้นเหตุหนึ่ง จนทำให้สภาปฏิรูปแห่งชาติลงมติคว่ำ
แต่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด ซึ่งกำหนดบทบัญญัติว่าด้วยการได้มาของวุฒิสมาชิก โดย คสช.เป็นผู้เสนอ กับอำนาจหน้าที่ตามคำถามพ่วงให้มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง อีกทั้งบทบัญญัติว่าด้วยกลไกและกระบวนการปฏิรูปประเทศ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกที่จะเกิดขึ้นตามมา สาระไม่ต่างไปจากฉบับก่อนเท่าไรนัก บางคนเห็นว่าหนักกว่าเสียด้วยซ้ำ
แม้ฉบับที่แล้วจะไม่ใช่การลงประชามติโดยตรงก็ตาม ขณะที่ฉบับใหม่เป็นการลงประชามติโดยตรงด้วยตัวเอง
การลงประชามติของผู้ใช้สิทธิจะออกมาอย่างไร
สังคมไทยจะยืนตามมาตรฐานเดิมที่เคยมีท่าที หรือจะมีมาตรฐานใหม่ น่าติดตาม