ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
เหลือเวลาอีก 20 กว่าวันจะถึงวันที่ 7 สิงหาคม วันลงประชามติ
ในสภาวะปกติ หากวันลงคะแนนเสียงใกล้เช่นนี้ ผลคาดการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโพลลับโพลเปิดเผยต้องทำนายกันแล้ว
รับกับไม่รับ เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วย
สูสีน่าลุ้น หรือชนะกันขาดลอย จะเป็นบรรยากาศการคาดหมายที่ปรากฏ
แต่สำหรับการประชามติร่างรัฐธรรมนูญ และการประชามติคำถามพ่วง กลับยังเงียบ
บรรยากาศก่อนการลงประชามติกลับกลายเป็นการจับกุม
บรรยากาศก่อนการลงประชามติกลับกลายเป็นการเรียกร้อง
จวบจนบัดนี้ บรรยากาศยังคงเป็นเช่นนั้น
เมื่อสัปดาห์ก่อน บรรยากาศก่อนการประชามติจำแนกได้คร่าวๆ
ฝ่ายหนึ่งเป็นความเคลื่อนไหวของผู้กุมอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็น คสช. ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น กรธ.
ฝ่ายนี้ได้ดำเนินการจับกุมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ซึ่งรณรงค์เรื่องรัฐธรรมนูญ และมีเอกสารซึ่งภาครัฐเห็นว่าขัดต่อ
ม.61 กฎหมายประชามติ
นับตั้งแต่การเปิดเผยของ กรธ. ที่ว่ามีเอกสารรัฐธรรมนูญปลอมแจกจ่ายในพื้นที่ภาคเหนือ
หลังจากนั้น ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ออกมาตอบโต้ว่า เอกสารที่มีการกล่าวหานั้น หากเป็นเอกสารความเห็นแย้งร่างรัฐธรรมนูญ ต้องบอกว่าไม่ใช่ร่างรัฐธรรมนูญเก๊อย่างที่กล่าวหา
ต่อมา ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ก็นำเอาเอกสารเหล่านั้นมาโชว์
กระทั่งปลายสัปดาห์ปรากฏข่าวทางภาคเหนือว่า เจ้าหน้าที่่ทหารตรวจยึดและค้นจดหมายนับพันฉบับที่ส่งข้อความเป็นเท็จเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ
ทั้งเรื่องสิทธิรักษาทุกโรค 30 บาท ทั้งเรื่องการสนับสนุนเรียนฟรี 15 ปี และอาจจะมีเรื่องอื่นๆ อีก ซึ่งทางฝ่ายทหารยังไม่เปิดเผย
ผลการตรวจจับเกิดขึ้นครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งลำปาง ลำพูน เชียงใหม่
นอกจากนี้ ยังมีการจับกุมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ และนักข่าวสำนักข่าวประชาไท นำตัวส่งศาลฝากขัง และได้ประกันตัวไป
มีการบุกค้นสำนักข่าวประชาไท
ด้วยข้อสงสัยว่ากระทำผิด ม.61 กฎหมายประชามติ
อีกฝ่ายหนึ่งเป็นความเคลื่อนไหวของผู้มีความเห็นต่าง ทั้งขบวนการประชาธิปไตยใหม่ รวมไปถึงกลุ่มนักวิชาการ
ความเคลื่อนไหวของขบวนการประชาธิปไตยใหม่ จะแก้ปมถูกกล่าวหา และต่อสู้ข้อกล่าวหามาตลอดสัปดาห์
ทั้งข้อกล่าวหาเรื่องรัฐธรรมนูญปลอม ทั้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิด ม.61 กฎหมายประชามติ
ขณะเดียวกัน กลุ่มนักวิชาการได้เข้าหารือกับ กกต. ซึ่งอาจารย์ที่เข้าพบเรียกร้องให้เปิดพื้นที่ก่อนการประชามติให้มากขึ้น
เรียกร้องให้เปิดกว้าง และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
นอกจากนี้ ทางกลุ่ม นปช.ก็เริ่มเปิดแนวรุก ออกมาให้สัมภาษณ์บ่อยขึ้น ขณะที่ พีซทีวีทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญ
กระทั่ง กสทช.มีมติให้ปิด แต่กลุ่ม นปช.ก็ยื่นขอคุ้มครองต่อศาลปกครอง
ศาลปกครองคุ้มครอง และมีกำหนดนัดไต่สวนเรื่องอำนาจของ กสทช.ที่สั่งปิด
แต่ทุกอย่างยังมิอาจเกิดขึ้น เนื่องจากวันที่ 14 กรกฎาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้ใช้อำนาจ ม.44
ม.44 ให้อำนาจ กสทช. กสท. และเลขาธิการ กสทช. ปิดทีวีและวิทยุที่ขัดคำสั่ง คสช.ได้
กสทช. กสท. และเลขาธิการ กสทช. ทำได้โดยไม่ต้องรับผิดทางอาญา แพ่ง และวินัย
สร้างความเข้มข้นในอำนาจของ กสทช.มากขึ้น
ฝ่ายสุดท้ายเป็นเสียงต่างชาติ เมื่อคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยเผยแพร่แถลงการณ์
สรุปว่า หัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูตของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยียม
สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส โรมาเนีย สาธารณรัฐสโลวัก สเปน สวีเดน สหราชอาณาจักร พร้อมทั้งเอกอัครราชทูตและหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย และเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
เรียกร้องให้มีการอภิปรายการลงประชามติอย่างเปิดกว้าง
“ขณะนี้เหลือเวลาไม่ถึง 1 เดือนก่อนวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เราเชื่อว่าการอภิปรายอย่างเปิดกว้างถึงประโยชน์ของร่างรัฐธรรมนูญในช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการบรรลุซึ่งเป้าหมายที่รัฐบาลประกาศไว้ในการสร้างประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพและความมั่นคงกว่าเดิม…
…ในฐานะมิตรและประเทศคู่ความร่วมมือ พวกเราปรารถนาที่จะเห็นราชอาณาจักรไทยมีความเสรี ความเข้มแข็ง และเอกภาพในการเดินหน้าผ่านทั้งสิ่งท้าทายและโอกาสแห่งศตวรรษที่ 21
…พวกเราขอให้รัฐบาลไทยอนุญาตให้ประชาชนไทยมีโอกาสพูดคุยอย่างเปิดกว้าง สร้างความเชื่อมโยงในสิ่งที่มีคล้ายกัน และบรรลุฉันทามติที่จำเป็นต่อการสร้างอนาคตที่เข้มแข็ง…”
ข้อเสนอแนะเช่นนี้ มาจากตัวแทนทูตต่างประเทศ
เป็นข้อเสนอแนะที่ต้องรับฟัง
มองกันว่า การเลือกตั้งในปี 2560 ของไทยจะเป็นการเริ่มต้นสู่ประชาธิปไตยอีกครั้ง
แต่การเลือกตั้งจะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
หากกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญไม่มีปัญหา ก็จะไม่มีเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง และกระบวนการที่เป็นที่ยอมรับคือการเปิดกว้างและมีส่วนร่วม
ดังนั้น กลยุทธ์ของ คสช.และรัฐบาลที่ใช้วิธีการจับแล้วปล่อย จับแล้วปล่อยกลุ่มคัดค้าน อาจจะกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้การประชามติร่างรัฐธรรมนูญไม่สมบูรณ์
ถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติไม่สมบูรณ์ หรือมีรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาไปจัดการเลือกตั้ง
โอกาสที่สถานการณ์หลังการเลือกตั้งจะไม่สงบก็มีสูง
ดังนั้นกระบวนการประชามติ จึงต้องเปิดกว้างและมีส่วนร่วม
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของฝ่าย คสช. ฝ่ายเห็นต่าง และฝ่ายต่างประเทศ ยังคงมีจุดยืนแบบเดิม
ยิ่งฝ่ายเห็นต่างเคลื่อนไหวมาก ฝ่าย คสช. ก็ใช้คำสั่ง ประกาศ และกฎหมายเข้าควบคุม
ปรากฏการณ์รณรงค์ ตรวจค้น ตรวจยึด จับกุม ส่งศาล ประกันตัว จึงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแทนการรณรงค์
บรรยากาศก่อนการประชามติจึงเป็นดั่งที่ปรากฏ
อึมครึม!