ที่มา | คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
เผยแพร่ |
การเช็กบิลกลุ่มก่อรัฐประหารในตุรกีเป็นเรื่องที่ชวนติดตามต่อจากช่วงเวลาระทึกในวันเกิดเหตุที่ลงเอยด้วยชัยชนะของประชาชนตุรกี
แม้ว่าชัยชนะนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องประชาธิปไตยไว้ได้ด้วยการสละชีวิตของประชาชนที่ต่อสู้กับรถถัง
แต่บรรดาผู้นำชาติตะวันตกนั้นติดตามตุรกีด้วยความวิตกเป็นพิเศษ เพราะรัฐบาลตุรกีออกอาการจะเช็กบิลแบบล้างแค้นและล้างบาง ทั้งปลดทั้งจับผู้คนอย่างมโหฬาร จนชาติพันธมิตรใกล้ชิดต้องออกมาปราม
ไม่เช่นนั้นชัยชนะครั้งนี้อาจ “เสียของ” ได้
ในช่วงแรกผู้นำชาติตะวันตกกล่าวชื่นชมที่ชาวตุรกีมีบทบาทสำคัญยิ่งยวดในการต้านทานการรัฐประหารไว้ได้ และบ่งบอกว่าสังคมยุคใหม่ไม่มีที่ยืนให้กับการรัฐประหารของทหารอีกแล้ว
ส่วนใครจะบอกว่ารัฐประหารของตนเป็นแบบยูนีก-unique ไม่เหมือนใคร อันนั้นก็แล้วแต่จะเอาที่สบายใจ แต่สำหรับโลกสากลแล้ว ประชาธิปไตยก็คือประชาธิปไตย ไม่ได้มีรูปแบบอัลเทอร์เนทีฟ
เมื่อรัฐบาลตุรกีทำท่าจะใช้วิธีการแข็งกร้าว จึงมีเสียงทักท้วงและแนะนำว่าควรจะยืนอยู่บนหลักประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมด้วย
แม้ว่าผู้คนจะมีอารมณ์โกรธแค้นที่การก่อเหตุครั้งนี้ทำให้พลเรือนเสียชีวิตไปอย่างน้อย 145 ราย บวกกับตำรวจและทหารฝั่งประชาชนอีกก็เกิน 200 ราย แต่สุดท้ายแล้วการดำเนินคดีเพื่อเอาผิดและลงโทษนั้นก็ต้องมีมาตรฐานและเป็นไปตามหลักกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ
หากคำนึงแต่ความแค้นหรือความสะใจ จะทำให้แยกไม่ออกระหว่างการบริหารด้วยหลักนิติธรรมกับการปกครองด้วยแนวคิดสุดโต่ง
ดังนั้นในสถานการณ์นี้ เมื่อนักการเมืองตุรกีเริ่มพูดกันถึงการฟื้นบทลงโทษประหารชีวิตมาใช้กับกลุ่มผู้ร่วมก่อการรัฐประหาร ผู้นำของสหภาพยุโรปจึงต้องออกมาเตือนสติในทันที ว่าตุรกีควรจะรักษาระดับมาตรฐานเดียวกับสมาชิกสหภาพยุโรป หรืออียู อีก 27 ประเทศ
ถ้ามีโทษประหารเมื่อใด ก็อย่าหมายว่าจะรวมกลุ่มกับสหภาพยุโรปได้อีกเลย
การที่สหภาพยุโรปเข้ามามีบทบาทสนับสนุนประชาธิปไตย รวมถึงตักเตือนตุรกีในเรื่องเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนอยู่บ่อยๆ นั้นเป็นเพราะตุรกีขอเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปมานานแล้ว นับจากยื่นใบสมัครมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 สมัยที่อียูยังเป็นอีอีซี หรือประชาคมเศรษฐกิจยุโรป
ถ้าครั้งนี้ชาวตุรกีใจแข็ง ยกระดับประเทศที่ปกป้องประชาธิปไตยไปสู่ความมั่นคงทางสิทธิมนุษยชนได้ การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปก็คงเป็นไปได้ในที่สุด
ด้วยเงื่อนไขนี้ทำให้สถานการณ์ของตุรกีเป็นที่น่าติดตามมากสำหรับไทย ไม่ว่าจะมีคนชอบหรือไม่ชอบให้เปรียบเทียบกับเหตุการณ์และวิกฤตการณ์ทางการเมืองของไทย
อย่างน้อยก็ได้เห็นตัวอย่างของการทำใจให้เข้มแข็งเพื่อรักษาประชาธิปไตยไว้ให้ได้ โดยไม่หลงทางไปกับความคิดว่าความสมบูรณ์แบบหรือวิธีอันเฉียบขาดเท่านั้นจะทำให้อะไรๆ ให้ดีขึ้น
ชัยชนะที่เกิดขึ้นในตุรกีไม่ใช่ชัยชนะของรัฐบาล แต่เป็นของประชาธิปไตยที่จะต้องพัฒนาต่อไปโดยประชาชนเอง