ที่มา | คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
เผยแพร่ |
เหลือเพียงแค่ 2 สัปดาห์นิดๆ วันลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญก็จะได้รู้ดำรู้แดงกันแล้ว ระหว่างนี้ทั้งฟากผู้มีอำนาจและฟากพรรคการเมืองใหญ่ๆ ต่างก็แอบทำโพลอย่างจริงจังและอย่างละเอียด เพื่อประเมินสถานการณ์ในโค้งสุดท้าย จะได้เตรียมทางออกทางลงอย่างไม่ให้ขายหน้าขายตา
แว่วๆ มาว่า เครียดกันทุกขั้วทุกฝ่าย เพราะแนวโน้มยังก้ำกึ่งกันมาก
สำหรับ คสช.นั้น ที่แสดงออกผ่านแกนนำเอง หรือคนรอบตัว เริ่มงัดมุขล่าสุดที่ระบุว่า คนจำนวนไม่น้อยจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเพราะอยากให้ คสช.อยู่ต่อไปอีกนานๆ
หาทางลงเผื่อเอาไว้ขนาดนี้เลย
แต่ก็อย่าเพิ่งไปคิดว่า คสช.ถอดใจไปแล้ว
เพราะกระบวนการหลายอย่างยังคงเดินหน้า ยังออกแรงผลักดันกันอย่างเต็มที่
รวมๆ แล้วจึงกล่าวได้ว่า ไม่ว่าผลประชามติจะออกมาทางไหน ฝ่าย คสช.ก็สร้างกระแสรองรับให้กับตัวเองไว้ทุกด้านแล้ว
เพียงแต่การเตรียมปูฟูกรอเอาไว้ทุกทิศ ก็สะท้อนชัดว่า ยังไม่แน่ใจอะไรสักอย่างนั่นเอง
มีนักคิดสรุปภาพรวมของวันประชามติ 7 สิงหาคมนี้เอาไว้ว่า คือวันต่อสู้ทางอุดมการณ์ครั้งสำคัญอีกครั้ง ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมหรือขวาจัด กับฝ่ายเสรีนิยม
เพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สนองตอบแนวทางขวาจัดแบบสุดสุด ขณะที่ฝ่ายเสรีประชาธิปไตย มองอย่างตรงกันข้าม
ฝ่ายขวาหรือฝ่ายอนุรักษนิยมทางการเมือง ซึ่งรวมพลฉุดสังคมไทยให้ถอยหลังกลับไปสู่ยุคเก่าๆ ตั้งแต่การปลุกม็อบเขย่ารัฐบาลเลือกตั้ง เริ่มจากยุคเสื้อเหลือง มาจนถึงยุคนกหวีด
ดังนั้นเมื่อถึงขั้นหยุดประชาธิปไตยได้ และสามารถร่างรัฐธรรมนูญออกมาที่สนองแนวคิดอนุรักษนิยมสุดสุดได้
เชื่อว่าคนในแนวอุดมการณ์นี้ย่อมจะต้องไปผลักดันร่างรัฐธรรมนูญมีชัยให้มีชัยให้จงได้
ขณะที่ฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ก็ต้องแสดงออกตามความคิดอุดมการณ์ในวันประชามติอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน
ทั้งหลายทั้งปวง เมื่อต้องมีวันประชามติ ก็ต้องยอมรับในการตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่ ต้องเคารพและยึดถือตามประชามตินั้น
ขณะเดียวกัน ช่างบังเอิญที่กระแสสังคมโลกในช่วงระยะนี้ มีเรื่องใหญ่ๆ ที่ลงเอยมีการนำมาเปรียบเทียบกับความเป็นไปในบ้านเราอย่างช่วยไม่ได้
เริ่มจากการลงประชามติของคนอังกฤษที่ลงเอยให้ถอนตัวจากอียู แล้วนายกรัฐมนตรีที่สนับสนุนให้อยู่ต่อ ต้องตัดสินใจลาออก เพราะถือว่าแพ้ประชามติ
มาจนถึงเหตุการณ์ประชาชนชาวตุรกี ฮือออกมาต่อต้านการรัฐประหาร จนทำให้ความพยายามยึดอำนาจของทหารต้องล้มเหลวกลายเป็นกบฏ
โดยนักวิเคราะห์ทั่วโลกชี้ตรงกันว่า ประชาชนตุรกีก็ไม่ได้รักใคร่รัฐบาลชุดนี้มากนักหรอก แต่เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงต้องร่วมกันพิทักษ์รักษาระบบประชาธิปไตยเอาไว้ ถ้าปล่อยให้รัฐประหารสำเร็จ เท่ากับเป็นการล้มอำนาจการเมืองในมือประชาชนไปด้วย
ดังนั้นประชาชนชาวตุรกีที่ไม่คิดอะไรตื้นๆ ไม่โดนใครสะกดจิตจนหน้ามืดตามัว จึงดาหน้าออกมาขวางรถถังด้วย 2 มือเปล่า
รักษาอำนาจการเมืองของประชาชนเอาไว้ แล้วค่อยไปตัดสินชี้ชะตารัฐบาลชุดนี้ด้วยมือประชาชนเอง
แนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตยยังเป็นกระแสใหญ่ในสังคมดินแดนไก่งวง