ทรัมป์อาละวาด : วีรพงษ์ รามางกูร

ทรัมป์อาละวาด : วีรพงษ์ รามางกูร

โดนัลด์ ทรัมป์ กลบเกลื่อนความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา ในการป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งเชื้อโรคประทุขึ้นอย่างหนักที่มหานครนิวยอร์กและมลรัฐนิวยอร์ก ผู้คนล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วง เชื้อโรคข้ามประเทศไประบาดที่มลรัฐแคลิฟอร์เนียและมลรัฐวอชิงตัน อเมริกากลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ มีผู้ป่วยและคนตายมากที่สุดในโลก แม้ว่าในแง่สถิติได้ถ่วงน้ำหนักโดยจำนวนประชากรแล้วก็ตาม เพราะประเทศที่มีพลเมืองมากกว่าสหรัฐอเมริกา เช่น สหภาพรัสเซีย รวมกับประเทศในสหภาพโซเวียตเก่า ประเทศอินเดีย แล้วก็ประเทศบราซิลที่กำลังจะเข้ามาแทนโดยมีการระบาดที่หนักขึ้นเช่นกัน

ความไม่มีประสิทธิภาพได้สะท้อนถึงระบบสาธารณสุขและระบบรักษาพยาบาลของสหรัฐอเมริกา ที่เป็นระบบตามแบบทุนนิยมสุดขั้วเป็นอย่างดี คนอเมริกันเวลาเจ็บป่วยจะขึ้นเครื่องบินออกมารักษาพยาบาลที่ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในโรงพยาบาลเอกชน จะได้บริการที่ดีกว่าและราคาถูกกว่า

เมื่อเกิดโรคระบาด คนจนในอเมริกาที่ตกงานหรือทำงานอิสระไม่สามารถซื้อประกันสุขภาพที่ราคาแพงได้ ก็จะตกอยู่ในฐานะเหมือนคนไร้ที่พึ่ง แม้จะมีประกันสุขภาพ Blue Cross Blue Shield บริการการแพทย์ คุณภาพก็สู้สถานพยาบาลในบ้านเราไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับแพทย์และพยาบาลเป็นเหมือนผู้จ้างและผู้รับจ้าง ถ้าพลาดเพียงเล็กน้อยคนไข้ก็ฟ้องแพทย์และพยาบาล เบี้ยประกันการประกอบวิชาชีพของหมอและพยาบาลในอเมริกาจึงแพงที่สุดในโลก แพงและบริการแย่กว่าโรงพยาบาลเอกชนของเราในกรุงเทพฯมาก

การมีองค์การอนามัยโลก WHO หรือ World Health Organization ซึ่งเป็นองค์กรหนึ่งในระบบสหประชาชาติ ที่ประเทศเจริญแล้วมีพันธะจะต้องจ่ายเงินสนับสนุนให้กับองค์การอนามัยโลก เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือประเทศยากจนในเรื่องสาธารณสุขป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันโรคระบาด เพราะโรคระบาดย่อมเป็นภัยพิบัติที่กระทบกับประชากรทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศยากจนหรือประเทศร่ำรวย การที่ประเทศร่ำรวยต้องจ่ายเงินสนับสนุนองค์การอนามัยโลกก็เพื่อป้องกันมิให้โรคระบาดแพร่กระจายเข้าไปในประเทศของตน เป็นการป้องกันตัวเองด้วย

Advertisement

การที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขู่องค์การอนามัยโลกว่าจะตัดเงินอุดหนุนองค์การอนามัยโลก เพราะเลขาธิการองค์การอนามัยโลกไม่ยอมประกาศว่า โคโรนาไวรัสเกิดจากการตัดต่อพันธุกรรมในห้องทดลองที่อู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานเป็นที่แน่ชัด ผู้เชี่ยวชาญอเมริกันเองก็ไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีของตัว แม้ว่าในขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผิดพลาดในการคาดการณ์การระบาดของโรคนี้ในสหรัฐอเมริกา เช่น ประกาศว่าประชาชนคนอเมริกันไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากถ้าตนยังไม่ติดจากโรคนี้ หรือมาตรการการป้องกันแบบเข้มงวดต่างๆ จนกระทั่งโรคระบาดแพร่หลายแล้ว จึงยอมประกาศมาตรการเข้มงวดต่างๆ จนได้รับการต่อต้านจากชุมชนหลายแห่งในหลายมลรัฐ

โดนัลด์ ทรัมป์ เล่นการเมืองโดยวิธีอาละวาดคู่ต่อสู้ที่ตนตั้งขึ้นมาหรือมโนขึ้นมา เป็นการเล่นการเมืองแบบเก่าที่สหรัฐกระทำมาโดยตลอดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา โดยตั้งจีนขึ้นเป็นศัตรูตามการมโนในขณะนี้

หลังจากประธานาธิบดีอเมริกันละทิ้งความคิดที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองนอกประเทศตามลัทธิมอนโร สหรัฐอเมริกาก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการเศรษฐกิจและการเมืองของโลกมาโดยตลอด โดยหาประเทศและผู้นำของต่างประเทศเป็นคู่ต่อสู้ สร้างให้คนอเมริกันกลัวและเกลียด

Advertisement

หลังสงครามโลกครั้งแรก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และมุสโสลินี สมาพันธรัฐเยอรมนีและอิตาลี เป็นคู่ต่อสู้ที่ผู้นำสหรัฐสร้างภาพให้คนอเมริกันเกลียดและกลัว

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป้าหมายแรกที่สหรัฐอเมริกาสร้างภาพว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญก็คือ สหภาพสังคมนิยมโซเวียต มีผู้นำของสหภาพโซเวียต เช่น โจเซฟ สตาลิน นิกิต้า ครุชชอฟ เบสเนฟ เรื่อยมาจนถึงปูติน เป็นคู่ต่อสู้

เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายไป จักรวรรดิรัสเซียที่พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตสืบทอดมาจากราชวงศ์โรมานอฟก็ล่มสลายลงไปด้วย ความเข้มแข็งในฐานะมหาอำนาจของสหภาพสังคมนิยมโซเวียตก็เสื่อมถอยตามไปเช่นกัน

ในขณะที่มหาอำนาจอย่างสหภาพโซเวียตเสื่อมถอยลง สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ถูกสร้างขึ้นมาเป็นคู่ต่อสู้ของสหรัฐอเมริกาแทน สร้างความรู้สึกกลัวให้กับคนอเมริกันโดยผู้นำของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพรรครีพับลิกัน เพื่อหันเหความสนใจของคนอเมริกันให้ออกไปจากการเมืองภายในประเทศของตน จนกลายเป็นเทคนิคสำคัญของประธานาธิบดีอเมริกันคนแล้วคนเล่าตลอดมา

ความกลัวสหภาพโซเวียตและจีนทำให้อเมริกาต้องกระโจนเข้าสู่สงครามเวียดนาม สังหารคนเวียดนามไปกว่า 1 ล้านคน แลกกับชีวิตทหารอเมริกัน 5 หมื่นคน และความเสียหายทางเศรษฐกิจของสหรัฐ จนเงินดอลลาร์สหรัฐต้องออกจากมาตรฐานทองคำ สงครามเวียดนามได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับสหรัฐอเมริกาจนกลายเป็นประเทศลูกหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างความเสียหายกับเกียรติภูมิของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างหนัก เมื่อรัฐสภาอเมริกันออกกฎหมายจำกัดอำนาจประธานาธิบดีในการทำสงครามโดยไม่มีการประกาศ อย่างที่ทำสงครามในเวียดนามและที่อื่นๆ

ขณะเดียวกันสาธารณประชาชนจีนก็สร้างเกียรติภูมิของตน โดยมิได้ทำผ่านการทำสงครามนอกประเทศ แต่ทำสงครามผ่านสงครามเศรษฐกิจและการค้าจนประสบความสำเร็จ จีนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ขณะที่คนอเมริกันต้องทำงานหารายได้มาชำระต้นและดอกเบี้ยให้กับจีน

เหมือนกับคนจีนโพ้นทะเลที่มาด้วยเสื่อผืนหมอนใบ มิได้หวังเอาชนะในรัฐสภาหรือราชการแต่เอาชนะในทางการค้าและการลงทุน เพียงรุ่นที่ 3 ก็ชนะอย่างเด็ดขาดทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง เพียงแต่สังคมไทยเป็นสังคมที่ฉลาด ได้กลืนลูกหลานต่างชาติที่เข้ามาสร้างเศรษฐกิจให้จนกลายเป็นคนไทยไปหมดแล้ว แต่สังคมอเมริกันมิได้เป็นเช่นนั้น

สังคมอเมริกันเป็นที่รวมคนอพยพจากยุโรป จากแอฟริกา จากเอเชีย รวมกับคนท้องถิ่นที่มีอยู่แล้วหลายเชื้อชาติและผิวสี แต่อำนาจทางเศรษฐกิจการเงินอยู่ในมือคนอเมริกันเชื้อสายยิว ขณะที่อำนาจทางการเมืองตกอยู่ในมือของคนผิวขาวเชื้อสายอังกฤษหรือไอร์แลนด์ ส่วนคนผิวสีเชื้อสายแอฟริกา หรือคนผิวเหลืองจากเอเชีย ไม่ว่าจะมาจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ และไทย ไม่ถูกกลืนเข้าไปในสังคมอเมริกันทั้งทางเศรษฐกิจการเมืองและสังคมได้อย่างสนิท

การที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะดำรงอยู่ในทางการเมืองและมีโอกาสชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ได้ ก็ต้องสร้างความกลัวจีนให้กับคนอเมริกัน ผู้นำจีนก็รู้ทัน ก็ยิ่งสร้างข่าวความก้าวหน้าในการพัฒนาอาวุธ ทั้งขีปนาวุธระยะไกลและความก้าวหน้าในเรื่องอวกาศ รวมทั้งส่งคนไปยังดวงจันทร์ด้วย อาศัยความกลัวของคนอเมริกัน ภาพความก้าวหน้าของจีนก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นๆ ยิ่งยั่วให้ผู้นำอเมริกากลายเป็นตัวตลกของโลกมากขึ้นเรื่อยๆ

คนอเมริกันส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะในแถบตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ ไม่ค่อยจะมีความรู้ แทบจะเรียกว่าโง่เขลาเลยก็ได้ เรื่องเกี่ยวกับโลกภายนอกไม่ว่าจะเป็นยุโรปหรือเอเชีย แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านของตนเอง เช่น แคนาดา เม็กซิโก หรือแม้แต่ทวีปอเมริกาใต้ สำหรับยุโรปตะวันออกและเอเชียก็ลืมไปได้เลย ยกเว้นไต้หวันและเวียดนาม เพราะตนเคยไปทำสงคราม

สงครามเวียดนามเป็นสงครามที่สหรัฐพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก เป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงสำหรับคนอเมริกัน แม้จำนวนคนอเมริกันตายและพิการทุพพลภาพจะไม่มากเท่ากับจำนวนคนเวียดนามที่ตายและทุพพลภาพ พื้นที่ป่าถูกทำลายด้วย “ฝนเหลือง” ที่ยังเป็นภูเขาหัวโล้นเพราะต้นไม้ไม่ขึ้น กับระเบิดที่วางเอาไว้มากมายจนป่านนี้ก็ยังกู้ไม่หมด แต่สงครามเวียดนามสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจรวมทั้งค่าใช้จ่ายจากภาษีอากรของประชาชนของสหรัฐอย่างมาก มากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 รวมกัน

ค่าเงินดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลสุดท้ายที่อยู่ในมาตรฐานทองคำ เทียบค่า 36 ดอลลาร์ต่อ 1 ทรอยเอานซ์ ก็ไม่สามารถยืนอยู่ได้ เพราะอเมริกาขาดดุลการชำระเงิน ทองคำไหลออกจากสหรัฐจำนวนมหาศาล จนในที่สุดต้องประกาศออกจากมาตรฐานทองคำ เป็นเหตุให้ค่าเงินดอลลาร์อเมริกันตกอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับทองคำและเงินตราสกุลอื่นๆ ของโลก

การที่จีนผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแทนสหภาพโซเวียตที่ล่มสลาย สหรัฐก็ต้องเปลี่ยนคู่ต่อสู้จากสหภาพโซเวียต ซึ่งบัดนี้ไม่มีแล้ว เป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสามารถนำมาปลุกปั่นคนอเมริกันได้ง่าย เพราะความรู้สึก “เหยียดผิว” ของคนอเมริกันนั้นได้ฝังรากลึกอยู่ในคนทุกรุ่นและทุกชนชั้นที่เป็นคนผิวขาว การใช้วาทะโจมตีจีนซึ่งเป็นคนผิวเหลืองและเป็นชนชั้น 2 ในสังคมอเมริกัน ชนชั้นที่ไม่สามารถกลืนเข้าไปในสังคมอเมริกันได้อย่างสนิท เช่นเดียวกับคนญี่ปุ่น คนเกาหลี และคนเวียดนาม ในสหรัฐอเมริกา การที่โดนัล ทรัมป์ สร้างภาพจีนเป็นคู่ต่อสู้จึงถูกใจคนอเมริกันเป็นอย่างมาก

จีนคงจะเป็นคู่ชกกับอเมริกาไปอีกนาน ไม่ใช่เฉพาะโดนัล ทรัมป์ เท่านั้น การต่อต้านจีนของอเมริกาก็จะเป็นแรงส่งให้จีนต้องรีบพัฒนาตัวเองต่อไปในทุกด้าน ผลักดันให้จีนต้องก้าวล้ำอเมริกาไปให้ได้ภายในเวลาไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งอเมริกาที่ไม่ว่าใครมาเป็นประธานาธิบดีก็ยอมไม่ได้

แล้วไทยจะอยู่ข้างใคร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image