ข่าวหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ทุกวันนี้ : วีรพงษ์ รามางกูร
ข่าวทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์และวิทยุทุกวันนี้ เป็นข่าวที่น่าเบื่อเพราะเป็นข่าวซ้ำๆ วนเวียนกันอยู่ไม่เกิน 3-4 เรื่อง ข่าวแรกที่ขาดเสียมิได้ก็คือรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 หรือโคโรนาไวรัส 2019 ในประเทศไทยและทั่วโรค ยอดรวมผู้ติดเชื้อ ยอดรวมผู้ที่หายแล้ว ยอดรวมผู้ที่ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ยอดรวมผู้ที่เสียชีวิต โดยเริ่มจากจีนก่อน
ทีแรกก็ตกใจเมื่อเห็นยอดรวมต่างๆ ดังกล่าว พุ่งสูงขึ้นที่ยุโรป เช่น อิตาลี สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี รัสเซีย แต่ไม่แพร่ไปยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์มากนัก แล้วก็แพร่ที่เอเชียเริ่มจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ไม่นับจีนที่เป็นประเทศที่ไวรัสเริ่มโจมตีเป็นประเทศแรก ส่วนคาบสมุทรเกาหลี ไวรัสโจมตีเฉพาะเกาหลีใต้ กลัวคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ แต่ไม่กลัวคอมมิวนิสต์จีน
มาที่อาเซียนก็โจมตีประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่ไม่โจมตีพม่า ไทย ลาว เขมร และเวียดนาม ติดเชื้อบ้างก็เล็กน้อย ทั้งที่บรรดาหมอต่างก็ดาหน้าออกมาให้ข้อมูลอันน่าสะพรึงกลัวเกินความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าศูนย์หรือสถาบันโรคติดต่อทั้งหลาย ต่างก็สอบตกวิชาสถิติพยากรณ์โดยลากเส้นตรงจากตัวอย่างเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย พยากรณ์ว่าปลายเดือนพฤษภาคมจะมีผู้ติดโรคนี้ถึง 3 แสนคนทั่วประเทศ สร้างความตกอกตกใจให้กับประชาชนเป็นอันมาก
เมื่อรัฐบาลประกาศพระราชกำหนดฉุกเฉิน พร้อมพระราชบัญญัติโรคระบาดร้ายแรง ที่รวบอำนาจมาไว้ที่นายกรัฐมนตรีอีกที เหมือนกับการทำปฏิวัติรัฐประหารใหม่ เป็นเหตุให้หลายคนครหา นินทาว่ารัฐบาลทำเกินกว่าเหตุ เช่น การประกาศห้ามคนออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 4 ทุ่มถึงตี 4 อันเป็นช่วงที่ปกติเชื้อโรคเข้านอนแล้ว ประชาชนก็เลยถูกบังคับให้เข้านอนด้วย โรคจะได้ไม่ติดต่อกันช่วงนี้ ยอมให้โรคติดต่อกันเฉพาะช่วงกลางวัน ส่วนช่วงเย็นจะออกไปสังสรรค์เฮฮากันบ้างก็ไม่ได้ จะจัดงานเลี้ยงกันที่บ้านก็ไม่ได้ ถูกกล่าวหาว่ามั่วสุมกัน
อุตสาหกรรมต่างๆ ของประเทศถูกกระทบมาก นอกเหนือจากร้านอาหารและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโรงแรมสินค้าส่งออกแล้วก็คงจะเป็นอุตสาหกรรมสุรา คงจะด้วยเหตุนี้ที่มีข่าวว่ารัฐบาลจะผ่อนผันให้เคี้ยวใบ กระท่อม หลังจากผ่อนผันให้ปลูกกัญชาได้บ้านละ 6 ต้น ความจริงน่าจะคิดได้นานแล้ว เพราะกระท่อมและกัญชาอันตรายน้อยกว่าสุราตั้งเยอะ แต่หวังว่าจะไม่ผ่อนผันให้เสพยาบ้า ที่เมื่อก่อนเคยเรียกยาม้าเพราะเสพแล้วขยัน แต่ไม่อารมณ์ดีเหมือนกัญชาและกระท่อม
ความที่หมอไทยเป็นคนที่กระตือรือร้น ชอบคิด ชอบอ่าน ชอบฟัง การสาธารณสุขและการแพทย์ของไทยเราจึงเจริญเร็ว ทันสมัยเร็ว ได้ยินได้ฟังมาว่าสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ทางการแพทย์ในโลกนี้ ประเทศไทยจะช้ากว่าอเมริกาเพียง 5 ปี เจ็บป่วยอะไรไม่ต้องไปรักษาเมืองนอกหรอก ถ้าหากไม่ใช่โรคใหม่ที่เกิดขึ้นไม่เกิน 5 ปี กรณีโคโรนาไวรัสหรือโควิด-19 ดูประเทศไทยจะก้าวหน้ามากกว่ายุโรปตะวันตก เอเชียตะวันออกและอเมริกาด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงจีน เรามีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านกว่าล้านสองหมื่นคน ประเทศอื่นที่ไม่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ไม่มี แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ลอกแบบมาจาก หมอเท้าเปล่า ของ เหมา เจ๋อ ตุง
ข่าวโควิดเหล่านี้ คนไทยทุกคนท่องได้ขึ้นใจเพราะดูและอ่านทุกวัน จิตใจหดหู่ก่อนนอนทุกวัน ต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกวัน ขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ทั้งบนดินใต้ดินเบียดเสียดยัดเยียด ก็ต้องสวมหน้ากากทุกวัน พอลงจากรถเมล์หรือรถไฟฟ้าก็ต้องเคารพกฎ ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ทั้งๆ ที่เราไม่ใช่สังคมที่ถือชั้นวรรณะอย่างอินเดีย ข่าวถนนว่าง ข่าวร้านอาหารว่าง ไม่มีคนเข้านั่งกิน ข่าวเรื่องการปิดกิจการ คนไม่มีงานทำ ผู้คนต้องกลายเป็น ยาจก เข้าแถวยาวเหยียดคอยรับแจกอาหาร
คนกรุงเทพฯกลายเป็นคนอดอยาก อนาถา มีจุดรอรับแจกอาหารอยู่ข้างถนนทั่วไปหมด เหมือนไม่มีรัฐบาลที่จะคอยดูแล เมื่อก่อนเห็นแต่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ต้มอาหารที่เหลือรับประทานตามร้านอาหาร แจกคนยากไร้ เราพัฒนามาไกลจนนึกว่าพ้นสภาพนั้นแล้ว ปรากฏว่าไม่จริง ยังอยู่เหมือน 50 ปีก่อนที่มีการแจกทานและคอยขอทาน ข่าวโควิด-19 จึงกินเนื้อที่ไปกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนข่าวทั้งหมด พอข่าวนี้ออกก็ปิดโทรทัศน์ได้เลย เพราะเป็นข่าวซ้ำๆ แถมหมอบางคนยังทำตัวเป็นผู้ปกครองประชาชนไปเสียอีก
ข่าวที่สองก็คือข่าวการล้มละลายสูญหายของกิจการ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่เป็นผู้ผลิตส่งให้กับบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นผู้ส่งออก ซึ่งมีมูลค่าถึงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ซึ่งถ้าไม่นับสุราเบียร์ สุรากลั่น สุราแช่ สัดส่วนของการส่งออกต่อรายได้ประชาชาติก็คงจะสูงกว่านี้ขึ้นไปอีก การล้มละลายของกิจการวิสาหกิจเหล่านี้ไม่เป็นข่าว มาเป็นข่าวอีกทีเมื่อบริษัทการบินไทยที่เป็นรัฐวิสาหกิจเพราะมีกระทรวงการคลังถือหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในฐานะที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว หนี้สินมีมูลค่าสูงกว่าทรัพย์สิน กำลังจะขาดเงินสดจ่ายเงินเดือนพนักงาน ถ้ายังขืนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้
การบินไทยที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสายการบินแห่งชาติ ต้องประกาศตัวขอเข้าโครงการพักชำระหนี้และเข้าแผนฟื้นฟูตามคำสั่งศาลล้มละลาย เป็นข่าวใหญ่ เจ้าหนี้ทั้งไทยและเทศต้องมาประชุมกันว่าจะปล่อยให้ล้มละลายหรือขอศาลฟื้นฟู ข่าวว่าคงจะยื่นต่อศาลขอฟื้นฟูเพราะเสียหายต่อเจ้าหนี้น้อยกว่า ส่วนหุ้นขณะนี้ราคาตามบัญชีติดลบ แต่ไม่เข้าใจว่ายังมีคนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างไร ตลาดหลักทรัพย์ก็ควรขึ้นป้ายห้ามซื้อขายได้แล้ว
บรรดาโรงงานที่ผลิตสินค้าและชิ้นส่วนสินค้าอุตสาหกรรมต่างก็ทยอยปิดโรงงาน หรือไม่ก็โยกย้ายไปตั้งที่เวียดนามหรือพม่า ที่มีค่าแรงถูกกว่าและไม่ติดโควต้าการส่งออกไปที่สหภาพยุโรป และอเมริกา แล้วจีนก็โยกย้ายโรงงานที่ติดโควต้ายุโรปและอเมริกามาผลิตที่เมืองไทย สำหรับอุตสาหกรรมที่ผลิตของที่ใช้เทคโนโลยีสูงกว่าและราคาแพงกว่า ตกลงปัญหาเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL ยังไม่เป็นปัญหาที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องสำรองหนี้สูญจนต้องเพิ่มทุน
ข่าวที่สามก็คือปัญหาเสถียรภาพของตลาดเงินตลาดทุน ปัญหาของตลาดทุนนับจากนี้ก็คือบริษัทห้างร้านต่างๆ น่าจะมีปัญหาในการระดมทุนจากประชาชน เพื่อชำระหนี้เก่า หรือต่ออายุตราสารหนี้ต่างๆ ซึ่งรวมกันแล้วมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนี้จากสถาบันการเงิน
ข่าวเรื่องตลาดเงินและตลาดทุนจึงเป็นข่าวเรื่องการล้มของบริษัทขนาดใหญ่ เรื่องการฟื้นฟูกิจการ ทั้งในและต่างประเทศ จึงเป็นข่าวใหญ่ที่คงจะต่อเนื่องไปอีกนาน ต่อจากข่าวโคโรนาไวรัสและข่าวการพัฒนาวัคซีนป้องกันและรักษาโรค ซึ่งถ้าหากค้นพบได้จริงก็จะเป็นข่าวใหญ่ของมวลมนุษยชาติ
ทุกวันนี้หมอที่มีความคิด เอียงขวา อย่างสุดโต่ง สนับสนุนการปิดบ้านปิดเมืองปิดประเทศ ร่วมปกครองด้วยระบอบแพทยาธิปไตยโดยหมอ กับทหารที่ผู้ยึดอำนาจอำนาจอธิปไตย สืบทอดอำนาจการปกครองแบบเผด็จการมาแล้ว 6 ปี ประชาชนถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ เพราะทหารกลัวการชุมนุมบนถนนเพื่อต่อต้านเผด็จการ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย
รัฐบาลทหารกำลังจะถูกต่อต้านจากขบวนนิสิตนักเรียนนักศึกษาก็พอดีกับไข้หวัดโคโรนาไวรัสระบาด รัฐบาลก็เลยรอดตัวไป เมื่อโรคระบาดสงบลง การชุมนุมขับไล่รัฐบาลก็คงจะกลับมา ด้วยเหตุนี้การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกับการใช้มาตรการห้ามผู้คนออกนอกเคหสถานก็ยังต้องคงอยู่ เพื่อให้เห็นว่าเรายังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินของโรคร้ายระบาด วาทกรรมที่ว่า สุขภาพสำคัญกว่าเสรีภาพ จึงเป็นวาทกรรมของเผด็จการทหาร เป็นวาทกรรมสำคัญที่จะคงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดเผด็จการทหาร มีสฤษดิ์ ถนอม ประภาส เป็นต้นแบบ
ข่าวทุกวันนี้จึงเป็นข่าวไวรัสโคโรนาระบาดเสีย 1 ใน 3 ของข่าวหน้าแรก และเป็น 3 ใน 4 ของข่าวทั้งฉบับ ข่าวที่ว่าส่วนใหญ่ก็เป็นข่าวแห้งที่แถลงโดยรัฐบาล อีกหนึ่งใน 3 ก็เป็นข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งก็ไม่มีอะไร เป็นข่าวโครงการแห้งๆ ที่อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอยู่แล้ว นอกจากนั้นก็เป็นข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย กระโดดลงมาทำหน้าที่เป็นผู้ให้กู้กับบริษัทเอกชนเสียเอง เปลี่ยนจากการเป็นแหล่งเงินกู้แหล่งสุดท้ายของธนาคารพาณิชย์เป็นแหล่งเงินกู้แหล่งสุดท้ายของบริษัทห้างร้านเอกชน ถ้าเอกชนกู้จากธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ เพราะติดเงื่อนไขข้อจำกัดในจำนวนเงินให้กู้รายใหญ่เกินกว่ากำหนด
ส่วนที่ 3 ซึ่งเป็นข่าวการเมือง ซึ่งไม่มีอะไรตื่นเต้นสำหรับระบบการปกครองที่ไม่ใช่ระบบประชาธิปไตย แต่เป็นระบอบการปกครองแบบสืบทอดอำนาจเผด็จการ ผลเลือกตั้งออกมาอย่างไรก็ได้นายกรัฐมนตรีตามเดิม นอกเสียจากยื่นญัตติไม่ไว้วางใจและรัฐบาลได้คะแนนไม่ไว้วางใจเกินครึ่ง ซึ่งก็ยาก เพราะมี ส.ว.ที่ตั้งมากับมือคอยค้ำบัลลังก์ และ ส.ส.ทั้งหลายในพรรคฝ่ายค้านจึงอยากเป็นงูเห่ากันทั้งนั้นเพราะเหตุผลที่รู้กัน
เงินเป็นเครื่องมือสำคัญของการเมืองระบอบนี้