‘NEW NORMAL’ งบประมาณ : โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ

‘NEW NORMAL’ งบประมาณ : โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ

เปิดสมัยประชุมสภาเที่ยวนี้เริ่มต้นด้วยการผ่าน พ.ร.ก.ที่อนุมัติเงินมหาศาลให้รัฐบาลไปใช้แก้ปัญหาประเทศ

เริ่มจาก พ.ร.ก. 3 ฉบับที่อนุญาตให้กู้เงินรวม 1.9 ล้านล้านบาท

ตามด้วยการ พ.ร.ก.การโอนงบประมาณปี 2563 ของกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ มาเป็นงบกลาง 80,000 ล้านบาท

เท่าที่ติดตามฟังน้ำเสียงของ ส.ส.ส่วนใหญ่ไม่คัดค้านกฎหมายเหล่านี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยเห็นความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องใช้เงินในการกู้วิกฤตของประเทศ อันเกิดจากโรคโควิด-19 ระบาดรุนแรง และส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างสาหัส

Advertisement

ฝ่ายค้านจึงได้แค่แสดงความเป็นห่วงในเรื่องการใช้เงิน ด้วยกังวลว่ารัฐบาลจะไร้ความรู้ ความคิด ความสามารถในการจัดสรรและใช้จ่ายให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญไม่รั่วไหลกลายเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้มีอำนาจ

เมื่อเป็นเช่นนี้กฎหมายที่เกี่ยวกับเงินมหาศาลก็ผ่านการพิจารณาไปอย่างสะดวก

ผลที่เกิดขึ้นคือ นับจากนี้รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นรัฐบาลที่มีเงินในมือให้นำมาใช้จ่ายมากมายมหาศาลที่สุดเท่าที่เคยมีรัฐบาลมาในประเทศไทยเรา

Advertisement

ที่รองรับอยู่แล้วคืองบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท

เมื่อเติมเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท เข้าไป เท่ากับรัฐบาลมีเงินกว่า 5 ล้านล้านบาท ที่จะนำมาใช้จ่าย

ที่พิเศษไปกว่านั้นคือ เงินจำนวนมหาศาลเป็นการเบิกจ่ายโดยอำนาจของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรง

เป็น พล.อ.ประยุทธ์ที่เพิ่งยอมรับกับประชาชนทั้งประเทศว่า “บริหารเศรษฐกิจไม่เก่ง แต่จริงใจ”

ซึ่งหากเอาความรู้สึกนึกคิดของประชาชนที่สะท้อนมาตลอดหลังจากได้เห็นการบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีผู้นี้มา 6 ปีกว่า กระแสส่วนใหญ่แสดงออกไปในทางเดียวกัน คือเชื่อว่า “บริหารเศรษฐกิจไม่เป็น”

แต่ในส่วนของ “ความจริงใจ” นั้นยังเป็นเรื่องต้องวิเคราะห์กันต่อไปว่า “มีอยู่หรือไม่” เพราะความจริงใจน่าจะต้องหมายถึงความรักที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชน มีความพยายามเต็มที่ที่จะทำให้เกิดผล ด้วยความใส่ใจและรอบคอบ ยอมรับความผิดพลาดและหาทางแก้ไข แต่องค์ประกอบของความจริงใจเหล่านี้ยังไม่ชัด หรือจะว่ากันจริงๆ ยังไม่มีผลงานอะไรที่ทำให้เชื่อว่าความจริงใจได้เกิดขึ้นแล้ว

ทั้ง “บริหารไม่เก่ง” และ “ความจริงใจยังไม่มีอะไรพิสูจน์ชัด” ทำให้เกิดความเป็นห่วงว่างบมหาศาล 5 ล้านล้าน ก้อนมหึมาอยู่ภายใต้อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ถูกใช้ไปในทางไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่ก่อความกังวลหนักคือจะเป็นการจัดการให้เงินไหลเข้าสู่ผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ถ่างช่องว่างความเหลื่อมล้ำของคนในสังคมให้กว้างและลึกขึ้นด้วยเงินมหาศาลเหล่านี้

และเมื่อเงินมหาศาลในจำนวนนี้มีที่มาจาก “เงินกู้” อันหมายถึงการนำเงินของอนาคตมาใช้จ่ายล่วงหน้า เป็นภาระของคนหนุ่มคนสาวหรือลูกหลานที่จะเกิดใหม่ต้องชดใช้หนี้

ทำให้เกิดการถามหากระบวนการตรวจสอบกันมากขึ้น เนื่องจากที่เป็นอยู่ในขณะที่องค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบทั้งหลายดูจะพิกลพิการในจิตสำนึกการทำหน้าที่กันเสียแทบทั้งหมด เพราะล้วนแล้วเกิดขึ้นมาด้วยอำนาจของคนที่ตัวเองต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ ทำให้ “สำนึกในบุญคุณบดบังสำนึกหน้าที่ที่ถูกธรรม” เสียหมด

ในการตรวจสอบนี้ แม้จะมี “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” จำนวนหนึ่งยังทำงานอย่างเข้มแข็ง แต่เมื่อบทบาทของเขาเหล่านั้นต้องเกินในกรอบของข้อบังคับ กฎระเบียบที่เขียนขึ้นมาแบบทำให้การทำงานเป็นไปด้วยอุปสรรค ความหวังว่าจะมีการตรวจสอบที่มีประสิทธิผลสูงจึงยังริบหรี่ มองไม่เห็นว่าจะเกิดขึ้นจริงได้

ในเรื่องการตรวจสอบนี้หากมีความหวังอยู่บ้าง คือ การปลุกให้ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ต้องรับผิดชอบในการชดใช้เงินที่ไปกู้มาใช้ล่วงหน้า

คนรุ่นใหม่ที่จะต้องรับภาระในอนาคตเหล่านั้น ควรจะต้องมีสิทธิมีเสียงในการรับรู้ ตรวจสอบและแสดงความเห็นว่าการใช้เงินที่เป็นภาระมหาศาลของพวกเขามีประสิทธิภาพน่าพอใจหรือไม่

ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรมต่อพวกเขาเอง

ทว่าบทบาทเช่นนั้นของคนรุ่นใหม่กลับเป็นไปไม่ได้

เนื่องจากกฎหมายสารพัดทั้งที่มีอยู่เดิมและเขียนขึ้นใหม่ ทำให้การออกมาแสดงบทบาทที่จะอำนวยความเป็นธรรมให้กับลูกหลานของชาติในอนาคตเป็นไปไม่ได้

กฎหมายและกลไกอำนาจที่วางไว้ก่อให้เกิด “NEW NORMAL” วิถีชีวิตปกติแบบใหม่ หรือให้เข้าใจง่ายคือ เป็นกฎหมายที่บังคับเพื่อสร้าง “ความเคยชินแบบใหม่ให้ชีวิต”

เป็น “ความเคยชิน” ต่อ “การสยบยอมจำนนต่ออำนาจ”

เป็น “วิถีชีวิตปกติแบบใหม่” ที่ “การสงบปากสงบเสียง จำนน หรือสอพลอต่ออำนาจ” ได้รับการยกย่องว่า “อยู่เป็น” ไม่ทำให้ชีวิตมีปัญหา หรืออาจจะรุ่งเรืองจากการแบ่งผลประโยชน์ให้ตามปริมาณของ “สำนึกสยบยอม”

งบประมาณที่ใช้เงินจากอนาคตมหาศาล ใน “NEW NORMAL” หรือ “วิถีชีวิตที่จำนนต่อการสยบยอม” ย่อมเป็นโอกาสที่จะจ่ายอย่างไม่ต้องกังวลการตรวจสอบ

ในสภาพเช่นนี้ ความหวังของคนที่จะต้องรับผิดชอบชดใช้ในอนาคต จึงเป็นไปได้อยู่หนทางเดี่ยวคือ

สวดมนต์ภาวนาให้เกิด “NEW NORMAL ในการใช้งบประมาณ”

ให้เกิดความเคยชินใหม่ในการใช้งบประมาณอย่างมีความสามารถที่จะทำให้เกิดประสิทธิผลและความเป็นธรรมต่อคนในสังคมได้

เป็น “NEW NORMAL” ในความหมายของ “สำนึกที่อิงความเป็นธรรม” จากคนคณะเดิม

เป็นความหวังในท่ามกลางการรับรู้ในผลงานที่ผ่านมา ว่า “วิถีชีวิตปกติ” ที่เป็นอยู่นั้น กระทั่งการแจกเงินเยียวยาผู้ได้รับความเดือดร้อนยังเห็นได้ชัดว่า “ไร้ประสิทธิภาพ”

ซ้ำทุกขั้นตอนการใช้จ่ายเงินเพื่อช่วยแก้ปัญหาวิกฤต ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวการทุจริต

“NEW NORMAL” ใน “วิถีของจิตสำนึก” ที่ “ตระหนักถึงภาระของลูกหลานในอนาคตจะมีพลังมากกว่าความโหยหิวในผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง”

แม้จะเป็นความหวังที่เลือนราง

แต่ก็เป็น “ความหวังเดียว” ที่เหลืออยู่

สุชาติ ศรีสุวรรณ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image