พปชร. กดดัน ปรับพรรค ง่าย ปรับ ครม. ยาก

พปชร. กดดัน ปรับพรรค ง่าย ปรับ ครม. ยาก

27 มิถุนายน เป็นวันสำคัญของพรรคพลังประชารัฐ ที่มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ หลังจากที่คณะกรรมการบริหารพรรคชุดเดิมลาออกเกินกึ่งหนึ่ง

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค

เปลี่ยนหัวหน้าพรรคจาก นายอุตตม สาวนายน เป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

เปลี่ยนเลขาธิการพรรคจาก นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็น นายอนุชา นาคาศัย

Advertisement

เช่นเดียวกับการวางตัวรองหัวหน้าพรรคที่จะแบ่งรับผิดชอบเป็นภาคๆ เพื่อดูแล ส.ส.ของพรรคแกนนำรัฐบาล

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการปรับฐานพรรคพลังประชารัฐ

แต่เป้าหมายสำคัญของการปรับกรรมการบริหารพรรคนั้น มิได้มีเพียงแค่ “ปรับฐาน” พรรค

Advertisement

เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐมีความเป็นมาที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวหลากหลาย แรกเริ่มเดิมทีกลุ่มที่มีพลังคือกลุ่มที่ทำงานร่วมกับ คสช. มาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว

ทั้งหมดถือเป็นโควต้าของ คสช. ที่ประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มพลังในพรรคพลังประชารัฐเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยพลังของกลุ่ม ส.ส.เริ่มมีมากขึ้น

และเมื่อถึงเวลา 1 ปี ความกดดันของ ส.ส. ที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีจึงปรากฏ

การ “ปรับฐาน” พรรคพลังประชารัฐครั้งนี้ จึงเป็นการเริ่มต้นของการ “ปรับ ครม.” ของพรรคพลังประชารัฐ

เหมือนดั่งที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตรเคยทำนายไว้ว่า มีการปรับ ครม.แน่นอน

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าใน ครม.นั้น รัฐมนตรีที่มาร่วมทำงานจะต้องมาจาก ส.ส. และโควต้าของนายกฯด้วย

เท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังต้องการโควต้าที่เป็น คสช. ซึ่งก็คือโควต้าของนายกฯ

เพียงแต่จะมีมากขึ้นหรือน้อยลง ซึ่งขณะนี้ทราบว่าอาจจะมีน้อยลง โดยกระทรวงที่เป็นเป้าของการปรับเปลี่ยนคือ กระทรวงพลังงาน

เปลี่ยนจาก นายสนธิรัตน์ กลุ่ม 4 กุมาร ซึ่งถือเป็นโควต้า คสช.

เปลี่ยนมาเป็น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำกลุ่มสามมิตร

ส่วนนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และนายอุตตม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังมีชื่ออยู่

อย่างไรก็ตาม การปรับ ครม. ที่เดิมคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็ว เพราะมี “ตัวเร่ง” คือ การผลักดันจากพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ลาออกจากหัวหน้าและสมาชิกพรรค ทำให้พรรครวมพลังประชาชาติไทยเสนอให้ปรับ ครม. โดยเสนอชื่อ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นรัฐมนตรีแทน ม.ร.ว.จัตุมงคล

แต่ดูเหมือนว่า ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่เร่งร้อน โดย พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ยุ่งกับ ครม. จนกว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2564 จะผ่านสภา

ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และมีกำหนดเข้าสภาผู้แทนราษฎร วาระ 1 ในวันที่ 1-3 กรกฎาคม

ผ่านจากวาระ 1 ก็จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ หลังจากนั้นคณะกรรมาธิการนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาวาระ 2-3 อีกครั้ง

คาดว่ากว่าจะแล้วเสร็จต้องใช้เวลาหลายเดือน

หาก พล.อ.ประยุทธ์ มองเห็นว่าควรปรับ ครม.หลังการผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณไปก่อน เท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยังใช้ ครม.ชุดปัจจุบันทำงานต่อไปจนถึงปลายปี

การปรับ ครม.ยังคงต้องรอ

การ “ปรับ ครม.” ไม่ง่ายเหมือนการ “ปรับฐาน พปชร.” เพราะขณะนี้ประเทศอยู่ในสถานการณ์วิกฤตที่ต้องการ “ผลงาน” จากรัฐบาล

ผลงานที่จำเป็นต้องใช้รัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถ และทำงานกันเป็นทีม

ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจใช้กลไกการปรับ ครม. เป็นกลยุทธ์การบริหาร โดยกดดันให้รัฐมนตรีชุดปัจจุบันทำงานให้ได้ผล และใช้เป็นแรงจูงใจบรรดา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐร่วมมือทำงาน

หาก ส.ส.ทำงานเข้าตานายกฯ อาจมีโอกาสเข้ามาแทนตำแหน่งรัฐมนตรีชุดปัจจุบันบางคนที่ทำงานไม่ได้ผล

ดังนั้น โอกาสที่การปรับ ครม. จะยืดการตัดสินใจออกไปจนกว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 จะผ่านสภา จึงมีอยู่มาก

แน่นอนบรรดากลุ่ม ส.ส.ที่ต้องการให้ ปรับ ครม. จะยังคงเคลื่อนไหวกดดัน เพื่อให้นายกฯตัดสินใจปรับปรุงทีมรัฐมนตรีร่วม ครม.

กดดันจนกระทั่งเกิดกระแส “ยุบสภา” แทรกขึ้นมา

เป็นกระแสที่เกิดขึ้นเพื่อย้ำเตือนว่า นายกฯมีกลไกการบริหารอีกอย่างที่จะเริ่มต้นรัฐบาลใหม่อีกครั้งได้ ด้วยการประกาศยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่

ทั้งนี้ หาก พล.อ.ประยุทธ์ ยุบสภาจริง ด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญฉบับ “ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ย่อมส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯได้อีกครั้ง

เมื่อยุบสภา ผู้ที่เดือดร้อนมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ หนีไม่พ้นพรรคการเมือง และนักการเมือง

คำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องปรับ ครม.ที่บอกว่า “อย่ามากดดันผม” นั้น มิได้พูดเล่นๆ

แม้ว่าการ “ปรับฐาน พปชร.” จะแลดูเหมือนไม่ยาก ขนาดกลุ่ม 4 กุมารออกแรงต้าน ยังปราชัยแก่กลุ่ม ส.ส. นำโดยกลุ่มสามมิตร

แต่สำหรับการปรับ ครม. ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยินยอม โอกาสจะมีการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นยากได้กว่า

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มีอาวุธ ทั้งการปรับ ครม. การประกาศยุบสภา

และที่สำคัญคือมีรัฐธรรมนูญฉบับที่ “ดีไซน์” มาเอื้อให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image