ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
ท่าทีของ 2 พรรคการขนาดใหญ่ 1 คือ พรรคเพื่อไทยและ 1 คือ พรรคประชาธิปัตย์ ต่อ “ร่าง” รัฐธรรมนูญ ฉบับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์
น่า “ศึกษา” น่า “วิเคราะห์”
ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจต่อสภาพความเป็นจริงอันเป็น “รากฐาน” และ “เค้ามูล” ของความเป็นพรรค
อย่างที่เรียกกันว่า “พรรคภาพ”
วิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจต่อ “แนวโน้ม” และ “ความเป็นไปได้” ของมติอันจะตามมาเมื่อ “ร่าง” รัฐธรรมนูญเข้าสู่กระบวนการทำประชามติ
ว่าจะก้าวไปใน “ทิศทาง” ใด และ “ทำไม” จึงเป็นเช่นนั้น
ที่น่าศึกษา ที่น่าวิเคราะห์ เพราะประเมินตามสภาพความเป็นจริงแห่ง “ธรรมชาติ” ของ “พรรคการเมือง” ว่าเป็นเช่นใด
เป็นพรรคของ “มวลชน” หรือของ “บุคคล”
เนื่องจากไม่มีพรรคการเมืองใดเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดำเนินไปภายใน “ความว่างเปล่า” อย่างน้อยก็ต้องมี “สมาชิกพรรค” อย่างน้อยก็ต้องมี “ผู้นำ”
2 ส่วนนี้แหละจะเป็นเครื่องกำหนด “ทิศทาง”
มีท่าทีที่แตกต่างกันอย่างแน่นอนต่อ “ร่าง” รัฐธรรมนูญฉบับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ จากพรรคเพื่อไทย และจากพรรคประชาธิปัตย์
พรรคเพื่อไทยแสดง “ทิศทาง” ตั้งแต่ “เบื้องต้น”
เป็นทิศทางอย่างเดียวกันกับแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ “นปช.” อันเป็นพันธมิตรในเส้นทางเดียวกัน
นั่นก็คือ มติ “คว่ำ” ต่อร่างรัฐธรรมนูญ
ตรงกันข้าม พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะมองผ่าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะมองผ่าน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
ก็อ่านได้ “ทะลุ” ก็อ่านได้ “ปรุโปร่ง”
นั่นก็คือ ยังมอง “ด้านดี” ที่มีอยู่ภายในร่างรัฐธรรมนูญฉบับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ยัง “สงวน” ท่าที ไม่ได้ฟันธงไปเลยว่าจะเอาอย่างไร
เรียกสำนวน 1 ก็ต้องว่า “แทงกั๊ก”
เรียกสำนวน 1 ก็ต้องว่า “รอบคอบ” และตั้งการ์ดอย่าง “รัดกุม” ไม่ได้ผลีผลาม ไม่ได้แสดงทิศทางของตนออกมาอย่างเด่นชัด
ความหมายก็คือ ยัง “ไม่สรุป” ยังไม่มี “มติ”
ท่าทีที่แตกต่างกันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์เช่นนี้สามารถเข้าใจได้
เข้าใจได้เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นอวตาร 1 ของพรรคพลังประชาชน ขณะเดียวกัน พรรคพลังประชาชนเป็นอวตาร 1 ของพรรคไทยรักไทย
รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป้าคือ “ไทยรักไทย”
รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป้าคือ “เพื่อไทย”
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เป้าหมายก็คือการสกัดขัดขวางพรรคพลังประชาชน รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 เป้าหมายย่อมเป็นการสกัดขัดขวางพรรคเพื่อไทย
จึงไม่มีอะไรที่พรรคเพื่อไทยจะลังเล จึงไม่มีอะไรที่ นปช.จะลังเล
ตรงกันข้าม พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับกระบวนการรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ทั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 กปปส.
ยังมี “ส่วน” อย่างสำคัญทำให้ “เกิดขึ้น”
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 พรรคประชา ธิปัตย์ก็บอกว่ารับไปก่อนแล้วค่อยแก้ ต่อ “ร่าง” รัฐธรรมนูญใหม่อันปักธงว่าน่าจะเป็นของ พ.ศ.2559 พรรคประชาธิปัตย์จึงมากด้วยความสุขุม มากด้วยความรอบคอบ มากด้วยความระมัดระวัง
ต้องเงี่ยหูฟัง “คสช.” ต้องเงี่ยหูฟัง “กปปส.”
ยิ่งกว่านั้น ยังต้องให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษต่อ “กระแส” และ “แนวโน้ม” การเมือง
กระแสต่างหากเป็นสิ่งที่ 2 พรรคการเมืองขนาดใหญ่ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์สนใจ
พรรคเพื่อไทยมีเจตจำนงแน่วแน่ที่จะสร้างกระแสให้ดำเนินไปสู่ทิศทาง “คว่ำ” ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ล้างหูคอยติดตามว่าจะมีความเป็นไปได้อย่างไร
ในที่สุด “กระแส” และ “แนวโน้ม” การเมืองจะเป็นคำตอบสุดท้าย